อุบลราชธานี - เจ้าของรถรายที่ 2 ที่ถูกวัยรุ่นซ่าใช้อีโต้ฟันรถเสียหาย หลังก่อกวนผู้กอง ตชด.ในวันเดียวกัน นำคลิปมาแฉซ้ำ ขณะชุดสืบสวนไปตามหาตัวที่บ้านในเขตตำบลหัวเรือ อ.เมือง แต่เจ้าตัวหนี จึงออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ก่อนออกหมายจับ
จากกรณี ร.ต.อ.สมพร เหล่าสิงห์ อายุ 59 ปี รองสารวัตรกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22 อุบลราชธานี นำคลิปภาพจากกล้องติดหน้ารถ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ช่วงวัยรุ่นขับรถปาดหน้าและจอดรถขวางรถกระบะโตโยต้า รีโว่ หมายเลขทะเบียน กย 4122 อุบลราชธานี ของ ร.ต.อ.สมพร รวมทั้งรถคันอื่นๆ ที่แล่นตามกันมาช่วงบ่ายวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา มอบให้ พ.ต.ท.รุ่งทวี นาปาน สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองอุบลราชธานี เจ้าของคดีใช้ประกอบหลักฐานนำตัวมาดำเนินคดี
ล่าสุดวันนี้ (7 ส.ค.) นายปรัชญา สำอางอินทร์ อายุ 29 ปี ชาวบ้านนาเมือง หมู่ 2 ต.ไร่น้อย อ.เมืองอุบลราชธานี ผู้เสียหายอีกรายนำคลิปวิดีโอจากกล้องหน้ารถยนต์เก๋งโตโยต้า วีออส สีเทา-ดำ หมายเลขทะเบียน กย 605 อุบลราชธานี เข้าพบ พ.ต.ท.รุ่งทวี นาปาน สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองอุบลราชธานี เจ้าของคดี
พร้อมเล่าว่า ระหว่างขับรถออกจากบ้านมาตามถนนสายดังกล่าวเพื่อไปสั่งซื้อสินค้าตกแต่งบ้าน เห็นชายคนเดียวกันขับขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟส่ายไปมาบริเวณกลางถนนแถวห้างสรรพสินค้าบนถนนชยางกูรขาเข้าตัวเมือง และจอดรถมีปากเสียงกับผู้ใช้รถใช้ถนน แต่ไม่ให้ความสนใจ
ต่อมาชายคนดังกล่าวได้ขี่รถจักรยานยนต์มาเฉี่ยวชนกับรถของตน จนรถของชายดังกล่าวล้มลง เมื่อยกรถขึ้นมาชายวัยรุ่นก็นำมาจอดขวางหน้ารถ และเดินมากระชากประตูรถให้ตนเปิด พร้อมโชว์มีดอีโต้ที่พกมาข่มขู่ ตนจึงไม่ยอมลงจากรถ ทำให้ชายคนดังกล่าวเดินวนเวียนอยู่หน้ารถนานหลายนาที
“ขณะเห็นท่าไม่ดีจึงได้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากตำรวจ และมีรถกู้ภัยเปิดไซเรนมาในที่เกิดเหตุ ชายคนนั้นจึงล้วงเอามีดอีโต้ขว้างใส่รถของผมก่อนขี่มอเตอร์ไซค์หลบหนีไป”
ด้าน พ.ต.อ.ทวี กิติวิริยกุล ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองอุบลราชธานี เปิดเผยการดำเนินการติดตามตัวผู้ก่อเหตุในคดีนี้ว่า เบื้องต้นทราบตัวผู้ก่อเหตุแล้ว จึงส่งชุดสืบสวนไปหาตัวที่บ้านในหมู่บ้านทุ่งขามเหนือ ต.หัวเรือ แต่วัยรุ่นคนดังกล่าวไม่อยู่บ้าน หนีออกไปก่อน พนักงานสอบสวนจึงออกหมายเรียกให้มาพบเป็นครั้งที่ 2 ถ้าไม่มาก็จะออกหมายจับนำตัวมาดำเนินคดีใน 4 ข้อหา
ประกอบด้วย ขับรถโดยประมาทหวาดเสียวไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น พาอาวุธมีดไปในชุมชน เมือง ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ทำให้เสียทรัพย์ และทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว
