กาญจนบุรี - ด่วนชลประทานที่ 13 งัดประกาศผู้ว่าราชการจังหวัด ปี 53-54 รักษาระดับน้ำไหล ลำน้ำแควน้อย แควใหญ่ และแม่น้ำแม่กลอง เผยผู้ประกอบการหลังปี 54 ต้องระวัง ส่วนผู้ประกอบการก่อนหน้านี้ต้องยอมรับสภาพหากเกิดสถานการณ์รุนแรง
วันนี้ (6 ส.ค.) นายไพรัตน์ ทับประเสริฐ ผู้อำนวยการ ส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 13 จ.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า ข่าวสถานการณ์น้ำหลากในช่วงฤดูฝนที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2553-2554 ทำให้เกิดอุทกภัยในหลายๆ ลุ่มน้ำ เช่น อุทกภัยลุ่มน้ำน่าน ทำให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนเป็นจำนวนมาก มีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
บทเรียนจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น พบว่า มีปัจจัยที่สำคัญได้แก่ กระบวนการเฝ้าระวังปริมาณน้ำที่จะมีผลกระทบต่อชุมชน กระบวนการการแจ้งเตือนให้ประชาชนขนย้ายทรัพย์สินหรืออพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย กระบวนการสื่อสารกับประชาชนในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุและระหว่างเกิดเหตุ การใช้พื้นที่สาธารณะช่วยในการระบายน้ำ การมีสิ่งก่อสร้างกีดขวางลำน้ำ การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำแบบบูรณาการ และการมีส่วนร่วมจากประชาชน เป็นต้น
ขณะนั้น นายณฐพลษ์ วิเชียรเพริศ จังหวัดกาญจนบุรี ได้เล็งเห็นความสำคัญของสถานการณ์น้ำหลาก หากเกิดเหตุการณ์ในลำน้ำแควใหญ่ แควน้อย และแม่น้ำแม่กลอง เพราะอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนชาวจังหวัดกาญจนบุรี
ขอบเขตพื้นที่ในลำน้ำเพื่อรองรับน้ำกรณีมีฝนในลุ่มน้ำเป็นปริมาณมาก จึงมีความสำคัญมากเนื่องจากเป็นพื้นที่สาธารณะที่ต้องช่วยกันรักษาเป็นทางไหลของน้ำในลำน้ำแควใหญ่ ลำน้ำแควน้อย และแม่น้ำแม่กลอง
ดังนั้น เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2554 จังหวัดกาญจนบุรี จึงได้ประกาศกำหนดความจุลำน้ำที่ต้องช่วยกันรักษาเป็นทางน้ำไหลของน้ำเอาไว้ ดังนี้ 1.ลำน้ำแควน้อย จากเขื่อนวชิราลงกรณ ถึงแยกลำน้ำน้อย ความจุลำน้ำที่ต้องรักษาไว้มีปริมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
2.ลำน้ำแควน้อย จากแยกลำน้ำน้อยถึงจุดบรรจบลำน้ำแควใหญ่ ที่จังหวัดกาญจนบุรี ความจุลำน้ำที่ต้องรักษาไว้มีปริมาณ 900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
3.ลำน้ำแควใหญ่ จากเขื่อนท่าทุ่งนา ถึงจุดบรรจบลำน้ำแควน้อย จังหวัดกาญจนบุรี มีความจุลำน้ำที่ต้องรักษาไว้มีปริมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
4.แม่น้ำแม่กลอง จากจุดบรรจบลำน้ำแควใหญ่ และลำน้ำแควน้อย ที่จังหวัดกาญจนบุรี ถึงเขื่อนแม่กลอง มีความจุลำน้ำที่ต้องรักษาไว้มีปริมาณ 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
และ 5.แม่น้ำแม่กลอง จากเขื่อนแม่กลอง ถึงสุดเขตรอยต่อจังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดราชบุรี ที่อำเภอท่ามะกา มีความจุลำน้ำที่ต้องรักษาไว้มีปริมาณ 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
จากประกาศดังกล่าว จังหวัดกาญจนบุรี ขอความร่วมมือจากประชาชนในการช่วยกันรักษาทางไหลของน้ำ (WATER WAY) ที่เป็นพื้นที่สาธารณะ ในปัจจุบันมีประชาชนมาใช้พื้นที่ทำประโยชน์เป็นบางส่วนในบริเวณลำน้ำแควน้อย ลำน้ำแควใหญ่ และแม่น้ำแม่กลอง
ซึ่งเป็นพื้นที่อันตรายและเสี่ยงภัย จำเป็นต้องให้ประชาชนเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น จากการที่น้ำไหลผ่านพื้นที่ทำประโยชน์ในพื้นที่สาธารณะของลำน้ำ หากเกิดสถานการณ์น้ำหลากและเกิดความเสียหายจากการทำประโยชน์ในพื้นที่สาธารณะดังกล่าว ผู้ใช้ประโยชน์ตามแนวเขตล้ำคูคลอง และแนวแม่น้ำเดิมต้องยอมรับความเสียหายที่เกิดขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการก่อนปี 2554 ตามลำน้ำแควน้อย แควใหญ่ และแม่น้ำแม่กลอง ต่างเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่ผู้ประกอบการที่เข้ามาหลังปี 2554 อาจจะยังไม่ทราบข้อมูลข้างต้นมาก่อน จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน