ฉะเชิงเทรา - ผบ.พล11 ร่วมหลายหน่วยงานแถลงผลกวาดล้างหนี้นอกระบบและผู้มีอิทธิพลใน จ.ฉะเชิงเทรา ตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมได้รับรายงานมีกำลังพลในสังกัดปล่อยเงินกู้นอกระบบ ประกาศหากเป็นจริงจัดการขั้นเด็ดขาด
วันนี้ ( 10 ก.ค.) พล.ต.วรยุทธ แก้ววิบูลย์พันธุ์ ผบ.กองพลทหารราบที่ 11 พร้อมด้วย นายสุวิทย์ คำดี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ,พ.ต.อ.เกรียงไกร บุญซ้อน รอง ผบก. ภ.จว.ฉะเชิงเทรา และ พ.ต.ท.วิชัย สุวรรณประเสริฐ ผอ.กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ร่วมกันแถลงข่าวที่ห้องประชุมอาคารมหาเจษฎาบดินทร์ ภายในกองพลทหารราบที่ 11 ค่ายสมเด็จพระนั่งเกล้า ต.บางตีนเป็ด อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา หลังกวาดล้าง จับกุมนายทุนเงินกู้นอกระบบในพื้นที่ ได้ของกลางมูลค่ากว่า 12.3 ล้านบาท
พล.ต.วรยุทธ กล่าวว่า การปราบปรามกวาดล้างนายทุนเงินกู้หนี้นอกระบบในครั้งนี้ ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่กำหนดให้ในวันที่ 15 ก.ค. นี้ จ.ฉะเชิงเทรา จะต้องปลอดจากนายทุนเงินกู้นอกระบบ หรือกำจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ให้ได้เป็นจังหวัดแรกของประเทศ เพราะเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน
โดยเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ถึง 5 ก.ค.2561 จ.ฉะเชิงเทรา ได้ประกาศให้นายทุนเงินกู้นอกระบบพร้อมลูกหนี้ เข้ามาลงทะเบียนเพื่อรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตามความสมัครใจ เพื่อเข้าสู่ขบวนการไกล่เกลี่ย จากนั้นหลังจากวันที่ 15 ก.ค.2561 จะทำการกวาดล้างจับกุมผู้กระผิดอย่างหนัก และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นต่อเนื่องไปจนถึงการยึดทรัพย์ ซึ่งหลังการกวาดล้างจับกุม สามารถจับกุมเจ้าหนี้นอกระบบได้ 9 ราย มีลูกหนี้ผู้เสียหายรวม 342 ราย โดยมีวงเงินกู้รวม 12.3 ล้านบาท
ทั้งนี้ก่อนหน้าการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวยังได้รับการร้องเรียนจาก น.ส.ตา (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี ชาว อ.เมืองฉะเชิงเทรา ว่า ได้กู้เงินมาจากนายทหารยศจ่าสิบเอกรายหนึ่ง สังกัด ร.112 พัน 1 เป็นเงินจำนวน 15,000 บาท และได้นำทรัพย์สินไปวางไว้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันด้วย โดยต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน ซึ่งเมื่อตนเองต้องการที่จะใช้หนี้สินทั้งหมด เพื่อไถ่ถอนหลักทรัพย์ค้ำประกันคืนกลับพบว่านายทหารที่มีชื่อว่า "จ่าพอ" ได้นำหลักทรัพย์ของตนเองไปขาย และไม่มีหลักทรัพย์คืนให้ จึงได้รับความเดือดร้อน
พล.ต.วรยุทธ ได้กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า หากคำร้องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ก็พร้อมที่จะจัดการขั้นเด็ดขาด และรับรองว่าจะไม่มีการปกป้องคนผิดอย่าง ซึ่งหากประชาชนมีข้อมูลว่าข้าราชการในหน่วยงานใดไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ สามารถประสานมายังที่ตนเองได้โดยตรง