มหาสารคาม - อดีตแม่ค้าในเมืองกรุง ทนความเหนื่อยยากที่ต้องตอนดึกตื่นแต่เช้าเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไม่ไหว เพราะแทบไม่ได้พักผ่อน ตัดสินใจกลับบ้านเกิดที่ อ.วาปีปทุม ทดลองปลูกองุ่น 2 ต้นไว้หน้าบ้าน กลับได้ผลผลิตครั้งแรก 25 กิโลฯ แต่รสชาติอร่อย จนเกิดแรงบันดาลใจจึงพลิกที่ดินที่มีอยู่แค่ไร่เศษหลังบ้านปลูกเพิ่ม 400 ต้น ผลผลิตปีแรกเก็บได้มากถึง 1,400 กิโลกรัม ขายได้ร่วม 2 แสนบาท ลุยยึดเป็นอาชีพหลักเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมชิมและซื้อถึงในสวน
นางทองม้วน วงศาไฮ เจ้าของสวนองุ่นแคทลียา บ้านเลขที่ 107 บ้านหนองทุ่ม ต.หนองทุ่ม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม เล่าว่า ก่อนมาปลูกองุ่นเป็นอาชีพ เมื่อหลายปีก่อนตนและครอบครัวหนีความแห้งแล้งเข้าเมืองกรุง ทำอาชีพค้าขายอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ค้าขายไปสักระยะหนึ่งรู้สึกเหนื่อยมาก เพราะแต่ละวันต้องนอนดึกและต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปค้าขาย แทบไม่มีเวลาพักผ่อน จึงตัดสินใจกลับบ้านเกิดที่มหาสารคาม
ในห้วงนั้นได้ดูข่าวสารด้านการทำเกษตร ดูสกู๊ปข่าวการทำสวนองุ่นและมีโอกาสได้ไปเที่ยวดูสวนองุ่นของคนอื่นที่ประสบความสำเร็จ จึงเกิดความสนใจอยากทำบ้าง จึงได้ลองซื้อพันธุ์องุ่นมา 2 ต้น ในราคาต้นละ 290 บาท นำมาปลูกไว้ที่หน้าบ้าน พบว่าองุ่นเจริญเติบโตดีดูแลรักษาก็ไม่ยุ่งยาก และได้ซื้อพันธุ์มาปลูกเพิ่มขึ้นอีก ครั้งแรกเก็บผลผลิตได้ 25 กิโลกรัม มีความภูมิใจเป็นอย่างมาก
ถือเป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะทำอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพราะตนก็มีพื้นที่หลังบ้านอยู่ประมาณ 1 ไร่เศษ หลังจากนั้นก็ศึกษาวิธีการปลูกองุ่นจากหลายๆ แหล่ง ต่อมาจึงได้ซื้อพันธ์องุ่นเพิ่มจำนวน 400 ต้น โดยมีการยกร่องตั้งเสาขึ้นให้เป็นโรงเรือนมุงด้วยสแลน ใช้ระบบน้ำหยด ใช้ปุ๋ยคอก มูลวัวมูลควาย เน้นการปลูกตามวิถีธรรมชาติ ใช้โดโลไมท์ช่วยปรับปรุงดิน และปุ๋ยคอกบำรุงต้นให้เจริญงอกงาม ส่วนปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ใช้เพียงส่วนน้อย เพื่อกระตุ้นรากองุ่นในระยะแรกเท่านั้น
นอกจากนี้ยังค้นพบอีกว่า หากเปิดเพลงให้องุ่นฟังจะเป็นการช่วยกระตุ้นให้ได้ผลผลิตดี และสมบูรณ์ โดยองุ่นชอบความชุ่มชื่นแต่ไม่ชอบน้ำขัง
หลังจากปลูกได้ประมาณ 2 ปีกว่า ผลผลิตรอบแรกออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เนื่องจากน้ำที่ใช้เป็นน้ำบาดาล หรือน้ำใต้ดิน เป็นน้ำกร่อย ส่งผลต่อรสชาติองุ่นมีความหวานอร่อย แตกต่างจากองุ่นที่อื่น ที่สำคัญ องุ่นในสวนจะไม่ใช้สารเคมี ผลผลิตองุ่นที่เก็บขายได้ในปีแรก 1,400 กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 150 บาท สำหรับองุ่นเขียวพันธุ์ไวท์มะระกา และพันธุ์ไร้เมล็ด กิโลกรัมละ 200 บาท ทำให้มีรายได้กว่า 200,000 บาทต่อปี
นางทองม้วนบอกถึงการขายองุ่นของเธอว่าจะเน้นการสร้างความสุขให้แก่ลูกค้า โดยเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้าชม สามารถเลือกซื้อองุ่นแบบชี้พวงและตัดไปชั่งน้ำหนักเองได้เลย จึงทำให้มีผู้สนใจเข้าชมและสั่งจององุ่นไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะช่วงวันหยุดจะมีลูกค้าพาครอบครัวมาเที่ยวชมสวน ถ่ายภาพกันคึกคัก
“ลูกค้าเลือกตัดพวงองุ่นใส่ตะกร้าเอง ลูกค้าสามารถชิมก่อนได้ที่แปลงสดๆ เพราะปลอดภัยต่อสารเคมี ถ้าไม่ชอบก็เด็ดชิมก่อนได้ หากไม่หวานก็ชิมช่ออื่นได้ จนกว่าลูกค้าจะพอใจ และตัดใส่ตะกร้านำมาชั่งกิโลคิดเงิน เรามีสโลแกนที่ว่า ตัดชิมใส่ปากได้ทันที”
ส่วนผลผลิตองุ่นปีที่ 2 ผลองุ่นมีความสมบูรณ์มากกว่าปีแรกมาก เนื่องจากต้นองุ่นต้นใหญ่และสมบูรณ์ขึ้น ซึ่งคาดว่าในราวกลางเดือนมิถุนายน 2561 นี้ ผลผลิตรุ่น 2 ก็น่าจะได้หมด หลังจากนั้นช่วงปลายฝนต้นหนาวก็จะมีการทำสาว หรือตัดแต่งกิ่งก้านให้ใหม่เพื่อรอผลลิตอีกต่อไป
ด้านลูกค้าเล่าว่า ตนเองมากับครอบครัว ทราบมาจากเพื่อนๆ ซึ่งบอกต่อกันมา อยากจะลองมาซื้อและชิมมาถึงที่สวนและได้ชิมองุ่นแล้วรู้สึกหวาน กรอบ ได้ซื้อกลับบ้านไป 2 กิโลกรัม อร่อยไม่แพ้ที่อื่นเลย