บุรีรัมย์ - ทำนาเพียงอย่างเดียวเสี่ยงภัยธรรมชาติ ราคาตกต่ำ เกษตรกร อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ กว่า 10 ครัวเรือนปรับพื้นที่นาปลูกข้าวโพดหวาน และเพาะชำกล้ายูคาลิปตัส พืชอายุสั้นใช้น้ำน้อยขายเป็นอาชีพเสริมหลังทำนา สามารถหมุนเวียนปลูกได้ปีละ 3 ครั้ง สร้างรายได้ปีละ 1.5-2 แสนบาท
วันนี้ (26 มี.ค.) เกษตรกรบ้านหนองหว้า ต.หนองขมาร อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ กว่า 10 ครัวเรือนได้ปรับพื้นที่นาปลูกข้าวโพดหวาน ข้าวโพดข้าวเหนียว และเพาะชำกล้ายูคาลิปตัสขายเป็นอาชีพเสริมหลังฤดูทำนา โดยข้าวโพดและกล้ายูคาฯ ใช้ระยะเวลาเพียง 3-4 เดือนสามารถขายผลผลิตได้ ทั้งยังเป็นพืชใช้น้ำน้อยสามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล โดยเกษตรกรจะอาศัยน้ำจากใต้ดินสูบขึ้นมาหล่อเลี้ยงต้นข้าวโพด และกล้ายูคาลิปตัส ซึ่งข้าวโพดเกษตรกรปลูกจะเก็บผลผลิตไปต้มและวางขายสดตามเพิงริมถนน ส่วนกล้ายูคาลิปตัสมีเกษตรกรมารับซื้อถึงที่
ทั้งข้าวโพดและกล้ายูคาลิปตัสสามารถหมุนเวียนปลูกได้ปีละ 3 ครั้ง สร้างรายได้ให้เกษตรกรเฉลี่ยปีละ 150,000-200,000 บาท ถือเป็นรายได้ที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้เป็นอย่างดี จากเดิมต้องอาศัยรายได้จากการทำนาเพียงอย่างเดียว ซึ่งหากข้าวราคาตกต่ำก็จะไม่คุ้มทุน แต่หลังจากหันมาปลูกข้าวโพดและเพาะกล้ายูคาลิปตัสเป็นอาชีพเสริมก็ทำให้มีรายได้ดี
นายสำรวย พรหมบุตร อายุ 54 ปี กล่าวว่า ครอบครัวมีเนื้อที่ทั้งหมด 3 ไร่ เดิมจะทำนาเพียงอย่างเดียวทำให้เสี่ยงกับภัยธรรมชาติ และราคาผลผลิตตกต่ำ แต่พอหันมาปลูกข้าวโพด และเพาะชำกล้ายูคาลิปตัสขายเป็นอาชีพเสริมหลังเสร็จสิ้นจากการทำนาทำให้มีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น สามารถหมุนเวียนปลูกได้ปีละ 3 ครั้ง เฉลี่ยแต่ละปีมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 150,000 บาท