กาญจนบุรี - “ครูปรีชา” เตรียมควงทนายเดินหน้าขอความเป็นธรรมที่ ก.ยุติธรรม และสภาทนายความพรุ่งนี้ นัดสื่อทุกแขนงฟังแถลงพร้อมกันที่หน้ากระทรวง โวหากชนะคดีพร้อมอโหสิให้ “หมวดจรูญ” เพราะเป็นคนเมืองกาญจน์ด้วยกัน ขณะที่ชายแต่งขาว อินข่าวหวย 30 ล้าน บุกพบครูปรีชาพร้อมก้มกราบ เอ่ยขอไม่มีผู้แพ้หรือผู้ชนะได้ไหม
ความคืบหน้าคดีนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูโรงเรียนมงคลเทพรังสี จ.กาญจนบุรี ฟ้องร้องกล่าวหา ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจ ว่ายักยอกสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 พ.ย.60 เลข 533726 จำนวน 5 ใบ เป็นเงิน 30 ล้านบาท ที่ตนเองทำหล่นหาย แต่ต่อมานายปรีชาถูกดำเนินคดีกลับข้อหาแจ้งความเท็จกลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษ และอยู่ระหว่างประกันตัวสู้คดีนั้น
ล่าสุด วันนี้ (21 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านพักเลขที่ 143/22 บ้านทุ่งนา ซอย 5 หมู่ 3 ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ของนายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา ซึ่งเมื่อไปถึงพบครูปรีชาอยู่ภายในบริเวณบ้านกับพี่สาว และกำลังเตรียมตัวที่จะเดินทางไปโรงเรียน และเมื่อครูปรีชาพบสื่อมวลชนก็ได้เดินออกมาต้อนรับ อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ซักถามถึงประเด็นต่างๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมาได้มีการพูดคุยหรือปรึกษาหารือเกี่ยวกับคดีกับนางปณัญชยา สุขผล หรือเจ๊เกียว พยานคนสำคัญแล้วบ้างหรือยัง ครูปรีชาตอบว่า ยังไม่ได้พูดคุยกันเลย เนื่องจากต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีเวลาเพราะต้องทำมาหากิน
โดยในวันพรุ่งนี้ (22 มี.ค.) ครูกับทนายความจะเดินทางไปที่กระทรวงยุติธรรม เพื่อร้องขอความเป็นธรรมในหลายๆ เรื่อง โดยจะไปร้องเรียนที่สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม คาดว่าคงจะเดินทางไปถึงในเวลาประมาณ 09.00 น. หลังจากนั้นก็จะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่หน้ากระทรวงยุติธรรม ดังนั้นจึงฝากไปถึงสื่อมวลชนจากส่วนกลางทุกคนว่าตนจะไปร้องขอความเป็นธรรมที่กระทรวงยุติธรรมในเรื่องของคดีความ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จนถึงขณะนี้แล้วครูยังมั่นใจอยู่หรือไม่ว่าลอตเตอรี่นั้นเป็นของครู ครูปรีชาตอบว่า “จริงๆ แล้วลอตเตอรี่นั้นเป็นของครู แต่ไปอยู่ในกระเป๋าของคนอื่น ถามหน่อยนะครับว่าคนเป็นครู เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ถึงซี 8 จะไปตู่เอาลอตเตอรี่ที่อยู่ในกระเป๋าของคนอื่นได้ยังไง สมมติว่าไปตู่เอาลอตเตอรี่เขาแล้วจะได้ประโยชน์อะไร แต่นี่คือสิ่งที่เราทำลอตเตอรี่หาย และสิ่งที่ลุงจรูญ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาไปซื้อจากใครมา ซื้อมาจากตรงไหน”
นายปรีชากล่าวอีกว่า ลอตเตอรี่ที่มาถึงมือเจ๊บ้าบิ่นเป็นมือสุดท้าย แล้วเจ๊บ้าบิ่นก็เป็นคนส่งมาให้ตน ดังนั้น ลุงจรูญ จึงหาที่มาของการซื้อลอตเตอรี่ไม่ได้ เพราะคนขายคนสุดท้ายคือเจ๊บ้าบิ่น และบอกได้เลยว่า ลอตเตอรี่เลข 26 ฉบับนี้ วันที่ 31 ต.ค. 60 ไม่มีวางอยู่บนแผง ยืนยันว่าไม่มีอย่างแน่นอน ต้องมีลูกค้าสั่งเท่านั้นจึงจะได้ลอตเตอรี่ชุดนี้ และคนคนหนึ่งที่เป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะไปโกหกหรือไปตู่เอาลอตเตอรี่ในกระเป๋าของคนอื่นได้อย่างไร โดยสมมติว่าถ้าเขามีที่มาที่ไปและสามารถพิสูจน์ได้ก็ติดคุก
แต่ในขณะนี้เรื่องยังไม่ถึงในกระบวนการศาลเลย ตนเองก็โดนสังคมประณามแล้วว่าเป็นคนโกหกและเป็นครูที่ไม่ดี แต่ก็ไม่เป็นอะไร ขอให้รอกระบวนการตัดสินของศาล และเมื่อศาลตัดสินเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้รู้ว่าคนไหนเป็นคนถูกหรือคนผิด ลอตเตอรี่นั้นมีเส้นทางที่มาที่ไปเริ่มตั้งแต่ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว มาจนถึงผู้ขายคนที่ 1 และคนที่ 2 นี่คือที่มาที่ไป แล้วขอถามว่าฝ่ายโน้นมีที่มาที่ไปตรงไหน นี่คือคำตอบที่ครูอยากจะบอกแก่สังคม ซึ่งตนยอมรับ และให้เกียรติกับความคิดเห็นของผู้คนในสังคมทั้งประเทศไทย จะต่อว่า หรือตำหนิติเตียน แต่ทั้งนี้ อยากให้สังคมได้มองกว้างๆ ว่า ครูคนหนึ่งเป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ระดับซี 8 จะไปโกหกเพื่อไปเอาลอตเตอรี่ หรือเงินในกระเป๋าของคนอื่นได้อย่างไร และจะทำไปทำไม ถ้าไม่ใช่ของตัวเอง
ครูปรีชากล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 60 แผงลอตเตอรี่ของเจ๊พัช เจ๊เกียว รวมทั้งแผงลอตเตอรี่ของเจ๊บ้าบิ่น ตั้งเรียงกันอยู่ 5 แผง โดยเจ๊พัชตั้งอยู่ขวามือสุด ส่วนแผงที่ 2-3 เป็นแผงของเจ๊เกียว แผงถัดไปเป็นของเจ๊ซิ้ม และอีก 1 แผงที่ถัดไปจากเจ๊ซิ้มก็คือ แผงของเจ๊บ้าบิ่น แต่เมื่อตนเองไปถึงก็พบว่าเจ๊ซิ้มไม่อยู่ที่แผง เพราะไปเดินเล่นภายในตลาดนัดตลาดเรดซิตี้
เมื่อเจ๊พัชเห็นครูเดินมาก็ได้ตะโกนบอกให้เจ๊บ้าบิ่นนำลอตเตอรี่ที่ครูสั่งจองไว้ส่งให้ครู เมื่อครูได้รับลอตเตอรี่แล้ว ครูจึงจ่ายค่าลอตเตอรี่ให้แก่เจ๊พัช แต่เจ้พัชบอกครูให้ไปจ่ายกับเจ๊บ้าบิ่น เพราะเจ๊บ้าบิ่นได้จ่ายแทนครูไปแล้ว ถามว่าลอตเตอรี่หล่นหายที่ไหนนั้นไม่ทราบจริงๆ
ส่วนเรื่องการตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ของครูที่ทางกองปราบปรามเป็นหน่วยงานตรวจสอบ ปรากฏว่า ไม่มีสัญญาณ แต่ก่อนหน้านี้ที่ทางตำรวจภาค 7 ตรวจสอบพบว่ามีสัญญาณที่ตลาดเรดซิตี้ นี่คือที่มาของการที่จะเดินทางไปร้องขอความเป็นธรรมในวันพรุ่งนี้
สำหรับเรื่องของ พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี นั้น เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เป็นเรื่องอะไรที่ทุกคนงงกันมาก จึงรู้สึกสงสารท่าน เพราะไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ตนเองก็ไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น เพราะเราก็ไม่ทราบว่าเรื่องจริงๆ มันเป็นอย่างไร แต่ได้พบกับผู้การแค่ 2 ครั้ง คือ ร้อยเวรเป็นคนพาไปเพื่อให้ชี้แจง และเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปให้ท่านผู้การฟัง ก็เลยอยากจะฝากกับสังคมว่า ในเมื่อมีที่มาที่ไปขนาดนี้ทำไมลุงจรูญจึงหาคนขายให้ไม่ได้
“ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่มันเป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องความมั่นใจ แต่เรียกว่าความจริงที่เราบอกมา จึงอยากให้ลุงจรูญ ไปจำลองเหตุการณ์แบบเราบ้าง ว่าลุงจรูญซื้อลอตเตอรี่มายังไง เมื่อมาถึงตลาดนัดแล้วลุงจรูญอยู่ตรงไหน เพราะวันที่ลุงจรูญ มาชี้จุด ในวันนั้นไม่มีตลาดนัด ซึ่งวันอังคาร กับวันศุกร์ ตลาดเรดซิตี้จะมีตลาดนัด ก็ขอเรียนเชิญลุงจรูญนะครับ ขอให้ไปชี้สถานที่หน่อย เพื่อสร้างความกระจ่างให้แก่สังคม โดยที่ผ่านมา ผมก็พยายามทำความกระจ่างให้แก่สังคมมาโดยตลอด”
ผู้สื่อข่าวถามว่า สมมติว่าเมื่อคดีไปถึงชั้นศาลแล้ว หากผลตัดสินพลิกกลับมาเป็นของครูปรีชา ตรงนี้ครูปรีชาจะดำเนินการอย่างไรกับทางหมวดจรูญ ครูปรีชาตอบว่า เรื่องนี้ครูเคยบอกเอาไว้ตั้งนานแล้วว่า ที่จริงแล้วครูไม่ได้โกรธลุงจรูญ และไม่ได้มีอะไรกับการกระทำของเขา เพราะเราต่างก็เป็นคนเมืองกาญจน์ด้วยกัน ซึ่งก็จะอโหสิกรรมให้กันอยู่แล้วถึงแม้เรื่องจะเป็นอย่างไร
"“ต่สำหรับขณะนี้ตนเองโดนสังคมเล่นงานในโลกโซเชียลฯ อย่างมากซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นเกิดจากการกระทำของทนายความฝั่งโน้นด้วย และสิ่งนี้คือสิ่งที่ผมจะเดินทางไปร้องเพื่อขอความเป็นธรรม โดยในวันพรุ่งนี้นอกจากจะไปร้องขอความเป็นธรรมจากกระทรวงยุติธรรมแล้ว ผมจะไปร้องขอความเป็นธรรมที่สภาทนายความด้วย ดังนั้น ฝากสื่อมวลชนช่วยกระจายข่าวออกไปว่าผมจะไปร้องในสิ่งที่ผมถูกละเมิดหลายๆ อย่างกับทนายความฝั่งโน้น” นายปรีชากล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายปรีชา ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแล้วเสร็จ ขณะที่กำลังยืนเล่นอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน อยู่ๆ ก็มีชายสูงอายุ แต่งกายนุ่งขาวห่มขาว นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์รับจ้างมาจอดที่หน้าบ้านใกล้กับครูปรีชา ชายสูงวัยคนดังกล่าวได้ถามว่า ใช่ครูปรีชาหรือไม่ ครูปรีชาก็ได้ตอบกลับว่าใช่ ชายคนดังกล่าวจึงลงมาจากรถพร้อมหิ้วถุงสะพายผ้าสีขาวเดินเข้ามาหา เมื่อมาถึงก็ได้ก้มกราบแทบเท้าของครูปรีชา ทันที ทำให้ครูปรีชาตั้งตัวและรับไหว้แทบไม่ทัน
ชายชราคนดังกล่าวบอกกับ นายปรีชา ว่า ตนจบนักธรรมเอก เดินทางมาจากอำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ตั้งแต่เมื่อวานนี้ และคืนที่ผ่านมา ได้หลับนอนอยู่ที่ศาลาวัดไชยชุมพลชนะสงคราม หรือวัดใต้ จนกระเช้าจึงได้จ้างรถจักรยานยนต์ให้ช่วยนำพามาหาครูปรีชาที่บ้าน ตามที่อยู่ที่จดเอาไว้ในกระดาษที่ได้มาจากหนังสือพิมพ์
ซึ่งครูปรีชา ก็ได้นั่งคุยกับชายชราคนดังกล่าวอย่างเป็นกันเอง ถึงแม้จะเป็นคนที่มีลักษณะที่ออกจะเพี้ยนๆ ก็ตาม แต่การพูดจาของชายชราคนดังกล่าวดูแล้วเป็นคนพูดจาออกไปทางธรรมะ และได้บอกกับครูปรีชา ว่า การมาครั้งนี้ไม่ได้มาหาครูปรีชาเพียงคนเดียว แต่จะไปพบหมวดจรูญด้วย ซึ่งชายคนดังกล่าวได้พูดคุยกับครูปรีชา ตอนหนึ่งว่า การมาครั้งนี้ก็เพื่อขอร้องให้คู่กรณีทั้งคู่ได้มาตกลงกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขอให้มาตกลงกันโดยที่ไม่มีผู้แพ้หรือผู้ชนะได้ไหม
แต่สุดท้ายแล้วชายชราคนดังกล่าวก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองให้ครูปรีชาฟังไปต่างๆ นานา แต่บทสรุปสุดก็จะขออาศัยครูปรีชาอยู่ที่บ้านชั่วคราว ซึ่งครูปรีชา ก็ได้ตอบปฏิเสธ เพราะว่าที่บ้านมีพี่สาวอยู่เพียงคนเดียว จึงให้อยู่ด้วยไม่ได้ แต่ครูปรีชาได้เสนอไปว่า จะเช่าห้องพักให้อยู่ แต่ชายคนดังกล่าวได้ปฏิเสธที่จะไปนอนพักที่โรงแรม โดยขอให้ครูปรีชา ช่วยพาไปนอนที่วัดไหนก็ได้
นอกจากนี้ ครูปรีชา ยังได้ส่งเงินให้ชายชราคนดังกล่าวเพื่อเอาไว้ติดตัวเป็นค่าใช้จ่าย แต่ก็ถูกปฏิเสธ พร้อมกับบอกว่า ผมไม่ต้องการเงิน เพราะผมมีเงินอยู่แล้ว ดังนั้น ครูปรีชา จึงรบกวนให้สื่อมวลชนนำชายคนดังกล่าวไปรอที่วัดเทวสังฆาราม พระอารามหลวง หรือวัดเหนือ โดยหลังจากครูปรีชา ไปเซ็นชื่อที่โรงเรียนเทพมงคลรังสี ที่อยู่ตรงข้าวกับวัดแล้วเสร็จ จะไปพบ และจะไปหาเจ้าอาวาส เพื่อขอฝากชายคนดังกล่าวเอาไว้ที่วัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับชายชราคนดังกล่าวไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนติดตัวมาด้วย มีเพียงสำเนาบัตรประชาชนที่ถ่ายเอกสารมาด้วยเท่านั้น จากการตรวจสอบพบว่า ชายคนดังกล่าวคือ นายคณิต ตะเภาพงษ์ อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 หมู่ 9 ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า การมาครั้งนี้ครอบครัวรู้เรื่องหรือไม่ ซึ่งนายคณิต บอกว่า ตนหนีออกจากบ้านเพื่อต้องการมาพบครูปรีชา และหมวดจรูญ โดยที่ภรรยา และลูกไม่มีใครทราบเรื่อง