นครพนม-ล้มทั้งยืน! สองตายายชาวธาตุพนมเจอหมายศาลฟ้องเรียกเก็บค่าภาษีมากกว่า 11 ล้านบาท ทั้งที่สภาพความเป็นอยู่แร้นแค้นยากจน รับจ้างหาเงินซื้อข้าวประทังชีวิตไปวันๆ เผยไม่เคยทำธุรกิจการค้า แม้แต่หนังสือก็ยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ด้วยซ้ำไป วอนขอความช่วยเหลือ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ก.พ.) นางนุ้ย พรมราช อายุ 57 ปี พร้อมด้วยสามี คือ นายทองคำ จิตค้า อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52 หมู่ 6 บ้านนาทาม ต.พระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ได้นำเอกสารหลักฐานหมายศาลภาษีอากรกลางเข้าร้องทุกข์ผ่านสื่อมวลชนเพื่อให้ส่งต่อไปยังหน่วยงานเกี่ยวข้อง
ทั้งนี้เพราะได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 กุมภารพันธ์ 2561 ที่ผ่านมามีหมายศาลระบุเป็นคดีดำที่ ภ.4/2561 ศาลภาษีอากรกลาง วันที่ 11 มกราคม 2561 ระบุ กรมสรรพากร เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัท รุ่งรุจี ซัพพลาย จำกัด เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 2 คน โดยมี นางนุ้ย พรมราช เป็นจำเลยที่ 2
โดยในเนื้อหาจากเอกสารสำนวนฟ้องพบว่าเป็นความผิดเกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม และละเมิด เนื่องจาก นางนุ้ย จำเลยที่ 2 ได้มีการเปิดกิจการในชื่อบริษัท บริษัท รุ่งรุจี ซัพพลาย จำกัด และมีชื่อเป็นผู้ชำระบัญชี มีสำนักงานที่ตั้งอยู่เลขที่ 15 หมู่ 1 ต.เขาเพิ่ม อ.บ้านนา จ.นครนายก และอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของสรรพากรพื้นที่นครนายก
แต่ในการเปิดกิจการประกอบธุรกิจของ บริษัท รุ่งรุจี ซัพพลาย จำกัด ที่มีการจดทะเบียน นิติบุคคลตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2556 เพื่อประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องเขียน แบบพิมพ์ สื่อสิ่งพิมพ์ โดย นางนุ้ย พรมราช เป็นกรรมการผู้มีอำนาจแทน
จนกระทั่งมีการตรวจสอบพบว่าทางบริษัทฯ ได้เคยยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุด 1 มกราคม 2557-31 กรกฎาคม 2557 มีการแสดงรายได้จากการประกอบกิจการมากกว่า 36 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นรายได้เกินกว่ามูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม ตามกฎหมาย หรือมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมยื่นแบบการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย แต่ไม่มีการดำเนินการ
นอกจากนี้ ยังตรวจสอบพบว่าทางบริษัทฯ มีการยื่นแจ้งเปลี่ยนที่อยู่สำนักงานอันเป็นเท็จเพื่อเลี่ยงการชำระภาษี และมีการแจ้งขอยกเลิกจดทะเบียนบริษัท เมื่อ 22 กันยายน 2557 ซึ่งได้ทำคำขอจดทะเบียนโดยมีกรรมการผู้มีอำนาจเพียงคนเดียวคือ นางนุ้ย พรมราช ตามกฎหมาย ทำให้มีการยื่นฟ้องร้องเรียกเก็บภาษี รวมถึงเบี้ยปรับ รวมเป็นเงิน กว่า 11 ล้าน 8 แสนบาท ซึ่งในเอกสารได้ระบุวันนัดสืบพยาน ไกล่เกลี่ย วันที่ 23 เมษายน 2561
อย่างไรก็ตาม ภายหลังได้รับเอกสาร นางนุ้ย พร้อมด้วยสามี คือ นายทองคำ จึงได้นำเอกสารไปปรึกษาขอความช่วยเหลือจาก นายทองม้วน กุลจู อายุ 66 ปี ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลพระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม เพื่อหาทางช่วยเหลือ พร้อมได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หลักศิลา และเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครพนมเพื่อขอความช่วยเหลือ และขอความเป็นธรรม
เนื่องจากเป็นคนฐานะยากจน ไม่มีเงินไม่มีรายได้ และไม่เคยมีกิจการตามเอกสารมาก่อน แต่มีความกังวลในเรื่องของคดี จึงออกมาร้องทุกข์ต่อสื่อมวลชนช่วยเรียกร้องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาทางช่วยเหลือ เชื่อว่าตนถูกหลอกนำเอกสารไปดำเนินธุรกิจ
นางนุ้ยเปิดเผยว่า ปัญหาสรรพากรเรียกเก็บภาษีมากถึง 11 ล้านบาทครั้งนี้เชื่อว่าจะมีส่วนมาจากกรณีที่มีคนรู้จักในหมู่บ้านเป็นเครือญาติได้มาติดต่อขอเอกสารบัตรประชาชนไปทำประกัน ตนจึงนำสำเนาบัตรประชาชนไปให้ แต่ไม่ได้เซ็นเอกสาร หรือเซ็นอะไรสักอย่าง เพราะตนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ และไม่มีความรู้ ทำอาชีพหาเช้ากินค่ำ รับจ้างทั่วไปวันละ 100-200 บาท แถมต้องมีภาระเลี้ยงดูสามีที่ป่วยเป็นหอบหืด โรคเกาต์ ทำงานไม่ได้ และไม่มีลูก
นางนุ้ยกล่าวทั้งน้ำตาอีกว่า ตนมีฐานะยากจน ดิ้นรนทำมาหากินมากว่า 30 ปี อาศัยอยู่ด้วยกันสองผัวเมีย ในช่วงปี 2559-2560 เคยมีเอกสารมา 2 ครั้ง เป็นของกรมสรรพากร เรียกเก็บภาษีประมาณ 9 ล้านบาท จึงได้ไปร้องทุกข์ไว้ที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.นครพนม เพื่อขอความช่วยเหลือ และให้ตรวจสอบ และเรื่องได้เงียบไป ตนไม่ได้สนใจคิดว่าไม่มีอะไร เพราะไม่ได้ไปทำผิดอะไร
จนมาล่าสุดมีหมายศาลถูกฟ้องร้องให้ชำระภาษีเงินสูงกว่า 11 ล้านบาท พอนำเอกสารไปให้เพื่อนบ้านดูแทบเป็นลมเพราะยอดเงินสูงมาก แค่เงินหลักพันยังหาไม่ได้ มาเจอ 11 ล้านบาทตกใจมาก แต่คิดย้อนหลังเชื่อว่ามาจากเอกสารที่เคยถ่ายสำเนาบัตรประชาชนให้ญาติอ้างนำไปทำประกัน เชื่อว่านำไปทำธุรกิจ ทำให้เกิดปัญหาตามมา
“ฉันเคยไปต่อว่าญาติคนนี้แล้วแต่ไม่มีใครสนใจ มาคราวนี้เดือดร้อนมาก อยากให้หน่วยงานรัฐช่วยเหลือ เพราะลำพังแต่ละวันยังแทบไม่มีจะกิน ถ้าจะต้องไปขึ้นศาลที่กรุงเทพฯ หรือไปติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ คงแย่แน่ อยากให้ใครก็ได้ช่วยเหลือด้วย ถือว่าทำบุญคนแก่” นางนุ้ยกล่าว
ขณะที่ นายทองม้วน กุลจู อายุ 66 ปี ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลพระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม บอกว่า ตนในฐานะเพื่อนบ้าน และเป็นผู้นำท้องถิ่น หลังทราบข่าวได้มาตรวจสอบ รวบรวมเอกสาร พาสองตายายไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้ รวมถึงร้องศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ไปจนถึงยุติธรรมจังหวัด ยืนยันว่านางนุ้ยไม่เคยไปทำกิจการอะไรแน่นอน
ที่มาของปัญหานี้อาจเป็นเรื่องของการถูกนำเอกสารไปใช้ จึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหาทางดูแลช่วยเหลือ เพราะนางนุ้ยและสามีมีสภาพความเป็นอยู่น่าสงสารมาก หาเช้ากินค่ำ ยิ่งมีเรื่องฟ้องร้องถึงโรงถึงศาลเข้ามายิ่งกังวล หวาดวิตก แทบไม่ได้กินไม่ได้นอน เพราะถูกฟ้องเรียกเก็บภาษีมากกว่า 11 ล้านบาท จึงอยากให้หาทางช่วยเหลือ ไม่อยากให้ทั้งสองคนต้องเดือดร้อนไปวิ่งเต้น ชี้แจง เพราะลำพังทุกวันหาเงินซื้อข้าวกินยังลำบาก ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก
“ตอนนี้อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ลงพื้นที่มาตรวจสอบช่วยเหลือ เพราะทุกวันนี้นางนุ้ยต้องหาหยิบยืมค่ารถเดินทางไปติดต่อกับทางหน่วยงาน มีเพียงชาวบ้านที่สงสารช่วยเหลือ อยากขอความเป็นธรรมให้คนยากคนจนด้วย” นายทองม้วนกล่าว