ศูนย์ข่าวศรีราชา - “พอลล่า นางฟ้าถังขยะ” แห่งเมืองนครปฐม แม้คนมองว่าบ้า ไร้ค่า แต่ก็ขอน้อมนำแนวทางพ่อหลวง ส่องความสุขแห่งชีวิต
ภาพของสาวประเภทสอง สวมชุดนักเรียน ปั่นจักรยาน ตากแดด ตากฝน หาเศษกระดาษ และขวดน้ำตามถังขยะ ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงใกล้สว่าง ที่ชาว อ.เมืองนครปฐม มองเห็นจนชินตา และแม้หลายคนจะมองว่าเธอคล้ายคนบ้า ไร้สติ และพากันหวาดกลัว ด้วยเกรงว่าจะได้รับอันตราย จากภาพลักษณ์ไม่สวยงาม และร่างกาย รวมทั้งการพัฒนาทางสมองที่ไม่สมบูรณ์จากสายตาที่มองเห็นเพียงฉาบฉวย
แต่หากได้สัมผัสจะรู้ว่าหัวใจของ “พอลล่า” คือ เพชรเม็ดงาม ที่พร้อมจะน้อมนำแนวปรัชญเศรษฐกิจพอเพียง และคำสอนเรื่องความเพียร ของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ ทั้งยังเดินตามรอยทางความกตัญญูของสมเด็จพระเทพฯ เพื่อนำมาสร้างพลังในการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ โดยได้อุทิศรายได้ที่มีเพียงน้อยนิด ทำสิ่งดีๆ จากเหตุผลที่ว่า เธอเกิดมาเป็นหนี้บุญคุณแผ่นดิน
โดยภาพชายหัวเกรียน รูปร่างผอมดำ แต่งกายด้วยชุดนักเรียนหญิงแบบเอี๊ยมอนุบาล บางทีก็สวมชุดนักศึกษา ขี่รถจักรยานยนต์ที่ดัดแปลงเป็นรถพ่วงข้าง และรถจักรยานสามล้อ ตระเวนเก็บขยะเต็มคันวิ่งทั่วเมืองนครปฐม โดยเฉพาะรอบมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้พบเห็น โดยเฉพาะป้ายที่ติดบนหลังคา ที่มีทั้งบทกลอน และคำถวายอาลัย ภายใต้พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิจิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ถูกประดับด้วยริ้วดอกไม้พลาสติกรอบคัน และยังได้ขี่ตระเวนออกค้นตามถังขยะต่างๆ ทั้งหน้าร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ แม้บางวันจะมีแสงแดดจร้า และฝนตก ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่เคยท้อถอย และไม่แคร์สายตาของผู้คนบางคนที่มองว่าเป็นคนแปลก หรือทำงานที่ไร้เกียรติ
พอลล่า หรือ นายกิตตินันท์ ปิ่นทองดี อายุ 37 ปี หรือป๊อบ บอกว่า ชื่อของเธอจะถูกเรียกไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น พอลล่า คิตตี้ หรือแมวทอง ซึ่งทุกชื่อเธอชอบเพราะเป็นชื่อดาราในวงการที่เธอติดตามผลงาน
โดยเธอมีอาชีพหลักคือ การเก็บขยะตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ซึ่งพ่อของเธอเป็นอดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ของมหาวิทยาลัยศิลปากร ส่วนแม่ มีอาชีพทำขนมออกขายตามหมู่บ้าน และเธอคุ้นเคยต่อการเก็บขยะตั้งแต่เรียนหนังสือ ซึ่งทุกวันจะมีถุงเก็บขยะตระเวนเก็บจากโรงเรียนกลับบ้าน
“เริ่มแรกจากการช่วยพระที่วัดลาดปลาเค้า ละแวกบ้านพักในการทำความสะอาดวัด แต่พระได้บอกว่าเอาไปขายได้เงิน ก็เริ่มทำเป็นกิจวัตร เพราะได้รับการปลูกฝังจากพ่อแม่ว่า เงินทุกบาททุกสตางค์มีค่า อย่าใช้แบบไม่มีประโยชน์ และอาชีพการเก็บขยะ คือ สิ่งที่ทำได้ด้วยสองมือ และกำลัง เรายอมรับว่าสมองเราไม่ได้เหมือนคนอื่น แต่ก็พยายามจะทำงานเพื่อช่วยเหลือตัวเองและอยากจะเก็บเงินไว้ดูแลคุณพ่อคุณแม่ ยามท่านแก่เฒ่า หรือเจ็บป่วย ตอนแรกคุณพ่อก็ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ส่วนคุณแม่ก็ทำขนมไทยขาย ก่อนจะมาขูดมะพร้าวกะทิขายในละแวกแถวบ้าน”
เดิมเธอมีรายได้จากการเก็บขยะเล็กๆ น้อยๆ แถวบ้านเพียงเดือนละ 1,500 บาท แต่ก็เก็บสะสมเรื่อยมาจนสามารถใช้เงินมาดาวน์รถจักรยานยนต์ แล้วเริ่มขี่ออกเก็บขยะรอบมหาวิทยาลัยศิลปากร ถึงวันนี้รวมระยะเวลา 6 ปีแล้ว
ส่วน ชุดนักเรียนที่นำมาสวมใส่ เป็นเพราะประทับใจในตัวพี่สาวที่ได้ไปโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง แต่ตนเองมีปัญหาด้านสุขภาพ และพัฒนาการทางสมอง จึงได้แต่มองพี่สาวสวมชุดนักเรียน และจากรายได้ที่หาได้กว่าเดือนละ 5 ,000 บาทในวันนี้ ยังแบ่งเป็นค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ที่เหลือจะซื้อชุดนักเรียนที่อยากได้ตั้งแต่เด็ก มาใส่เป็นกำลังใจให้แก่สิ่งที่เคยขาดหาย ในช่วงวัยเด็ก
ส่วนรถที่พอลล่า ใช้ ได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาประดับไว้ที่หลังคารถ เพราะมีความรักในสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่เด็ก และติดตามข่าวพระราชกรณียกิจอย่างยาวนาน และในวันที่พระองค์สวรรคต ก็ได้ขึ้นป้ายถวายความอาลัย และเพิ่งเปลี่ยนป้ายเขียนบทกลอน ถวายความอาลัยอีกด้วย
“กลอนที่ติดบนป้าย เราก็คิดเองเอาไปให้ร้านทำเอง เป็นความตั้งใจที่จะทำถวายให้ท่าน แต่เราก็ไม่รู้ว่าผิดหรือถูกหรือเปล่า เราจำได้ว่าเคยมีภาพอยู่ภาพหนึ่ง ที่มียายแก่คนหนึ่งนำดอกไม้จะมาถวายในหลวง และมารอรับเสด็จ แต่เวลาผ่านไปนาน ดอกไม้ที่นำมานั้นก็เริ่มจะเหี่ยวแห้ง ก็เกรงว่าในหลวงจะไม่รับ แต่เมื่อถึงเวลา ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ท่านก็ทรงรับไว้โดยไม่รังเกียจ เราก็เลยกล้าตัดสินใจที่จะทำรถเพื่อแสดงออกในความรักต่อพระองค์ท่าน” พอลล่า บอกถึงความตั้งใจตามกำลังที่มี
แต่สิ่งที่ พอลล่า แสดงออกต่อความจงรักภักดี และน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และพระบรมราโชวาท จากการติดตามข้อมูล นั่นคือ การปรับนำมาใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างครบถ้วน แม้จะมีรายได้เพียงวันละไม่ถึง 200 บาท แต่ก็มีการเก็บออมได้เงินสะสมจนสามารถซื้อรถจักรยานยนต์ของตัวเองจนหมด และสามารถซื้อรถจักรยานยนต์ให้พ่อไว้ใช้ส่งกะทิให้ลูกค้า ซึ่งแต่เดิมเป็นที่รู้กันดีว่า มะพร้าวกะทิ คั้นจากบ้านของพอลล่า เป็นกะทิหอมหวานมัน อร่อย จนร้านอาหารหลายแห่งสั่งซื้อเป็นเจ้าประจำมายาวนาน
“ที่เรารักในหลวง เพราะท่านคือต้นแบบชีวิต เรามีสภาพไม่พร้อม แต่จะไปนั่งงอมืองอเท้าให้คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงก็ไม่ได้ พ่อหลวง ท่านเป็นถึงพระมหากษัตริย์ เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านจะลงไปในท้องไร่ท้องนาทำไม ท่านสมควรจะเดินที่พรมแดง แต่ท่านก็ทำงานหนักเพื่อประชาชน ไม่เว้นแม้แต่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงตามพระบิดาไปในที่กันดาร ท่านบอกว่าท่านต้องทำตัวให้เหมือนประชาชน ท่านมีความกตัญญูต่อพ่อของท่าน นี่คือสิ่งที่เรายึดตาม”
พอลล่า บอกว่า หลายปีแล้วที่ไม่ได้ซื้อข้าวกินเอง โดยเมื่อออกไปเก็บขยะทุกคืนที่จะมีร้านค้าประจำคอยให้ข้าว ก๋วยเตี๋ยว กินฟรีทุกวัน และให้กำลังใจในการทำงานอย่างนี้ต่อไป
ขณะที่ นายวรวุฒิ ปิ่นทองดี อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 ม.10 ต.บางแขม อ.เมืองนครปฐม พ่อของพอลล่า บอกว่า พอลล่า ตั้งแต่เกิดมีอาการผิดปกติ ร่างกายไม่แข็งแรง จนต้องนำไปรักษาที่โรงพยาบาลหลายแห่ง ส่วนหนึ่งเกิดจากการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกสุขลักษณะ กระทั่งนำไปตรวจที่โรงพยาบาลราชวิถี และขอให้มีการเอกซเรย์ช่องท้อง ก็พบว่า ร่างกายของพอลล่า ผิดปกติ คือกระเพาะอาหารเคลื่อนมาอยู่ที่หน้าอก และลำไส้พับตัว ซึ่งแพทย์บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อพัฒนาการของสมอง และร่างกายนับตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ
“ผมเลี้ยงลูกให้เขาเป็นคนดีตามสภาวะสังคม ครั้งหนึ่งผมเคยบอกว่าแก่แล้วกลัวจะขี่รถจักรยานยนต์ไม่ไหว เขาก็ไปหาเงินมาผ่อนซื้อรถแบบพ่วงข้างให้เลย ก็ถือว่าเขากตัญญูดีมาก ส่วนเรื่องการแต่งกาย แรกๆ ผมก็พยายามจะดึงให้เขากลับมาเป็นผู้ชายตั้งนาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็แก้ไม่ได้ สุดท้ายเขามาขอเจรจาว่า เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย และเขารักสิ่งนี้จริงๆ เราก็จึงได้ยอม ส่วนเรื่องการปลูกฝังในการรักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้นำแนวคิดตั้งแต่สมัยเป็นทหารเกณฑ์ ในสังกัดกองพันทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และเคยได้ปฏิญาณถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ที่ยึดถือสิ่งที่ได้ถวายสัตย์ในการทำงาน และเลี้ยงลูกอย่างเคร่งครัด”
ในวัยเด็ก พอลล่า มักจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการหาธงชาติ และตราสัญลักษณ์มาประดับบ้านทุกครั้ง ภายใต้การยึดตามแบบแผนเรื่องความจงรักภักดี และแม้ในวันนี้ พอลล่า อยากจะไปร่วมงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในครั้งสุดท้าย แต่ไปไม่ได้ แต่ก็ยืนยันว่า จะทำหน้าที่เก็บขยะจากถังขยะเพื่อดูแลบุพการี ต่อไป
พอลล่า ทิ้งท้ายว่า จะทำงานเก็บเงินให้ได้เงินสักก้อน เพื่อเป็นทุนในการกลับไปค้าขาย เพราะขณะนี้แม่ และพ่อชรามากแล้ว แต่สิ่งที่คิดจะทำตอนนี้ คือ อยากจะหาที่กว้างบนสนามหญ้า เพื่อจะได้ก้มลงกราบแผ่นดินไทยสักครั้ง เพื่อที่จะขอบคุณแผ่นดินไทยที่ให้โอกาสเธอได้ยืนอยู่ในจุดนี้ที่มีความสุขใต้ร่มพระบารมี ในหลวงรัชกาลที่ ๙ และรัชกาลที่ ๑0รวมถึงพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ และพระบรมวงศานุวงษ์
และหลังจบการสนทนา พอลล่า ยังได้หยิบถึงขยะขึ้นรถจักรยานคู่ชีพขี่ตระเวนไปตามเส้นทางประจำของเธอ เพื่อทำหน้าที่ตามที่ได้บอกไว้
และหากผู้ใดพบเห็น ภาพหญิงสาวประเภท 2 ผู้มีความมุ่งมั่นในการทำความดีเช่นนี้ ก็ขอให้เป็นกำลังใจให้เธอด้วยเช่นกัน