เปิดใจ “ปั้นจั่น ปรมะ” หนึ่งในผู้ที่อยู่ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ที่ รพ.ศิริราช วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เจ้าตัวเผย เข้าใจแล้วว่าน้ำตาท่วมแผ่นดินเป็นยังไง พร้อมเปิดใจถึงเหตุการณ์ที่หลายคนประทับใจ กรณีที่ปั้นจั่นตะโกนบอกทุกคนให้ก้มกราบส่งพระองค์ เพื่อแสดงความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย ลั่นผมเชื่อมั่นและศรัทธา ในหลวง ร.๙ หมดหัวใจ ชาติหน้าขอเกิดเป็นประชาชนของพระองค์อีก
วันที่ 13 ตุลาคม 2559 นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประชาชนคนไทย กับการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย แม้จะผ่านมาแล้ว 1 ปี แต่ยังไม่มีใครลืมฝันร้ายในวันนั้นได้เลย
เหตุการณ์ในวันนั้น ประชาชนต่างเดินทางไปที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยหัวใจดวงเดียวกัน ด้วยความรู้สึกเดียวกัน ด้วยความหวังให้มีปาฏิหาริย์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ พระเอกหนุ่ม “ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย” ในบรรยากาศที่ยากลำบากนั้นทุกคนต่างสวดมนต์ภาวนาให้ในหลวง ในขณะที่ปั้นจั่นได้พนมมือไหว้ พร้อมมองไปยังชั้น 16 ของอาคารเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นที่ประทับของ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ตลอดเวลา ช่วงรอแถลงการณ์จากสำนักพระราชวัง นับเป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจทุกคน โดยปั้นจั่นเผยถึงบรรยากาศในวันนั้นว่า เข้าใจคำว่าน้ำตาท่วมแผ่นดินก็วันนี้
“ผมไปที่โรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่รู้ข่าวแล้วครับ แล้วคุณแม่ผมก็ตามมาที่ศิริราช ก่อนไปผมรู้สึกใจไม่ดี เหมือนมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง ผมก็เลยโทร.บอกที่บ้านว่าผมอยากมาอยู่ใกล้พระองค์ท่านมากที่สุด วันนั้นผมก็เลยไปครับ ซึ่งก่อนหน้านั้น 2 - 3 วัน ข่าวยังไม่ได้แจ้งว่าพระองค์ท่านทรุดหนัก แต่ช่วงนั้นผมรู้สึกคิดถึงพระองค์ท่านแบบแปลกๆ เห็นภาพพระองค์ท่านแล้วเหมือนจะร้องไห้ มันเป็นความรู้สึกใจไม่ดี พอถึงบ้านก็พูดกับคุณแม่ว่าผมคิดถึงในหลวง ผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้ รู้สึกห่วงพระองค์ท่าน แล้วพอหลังจากนั้นก็มีข่าวว่าพระองค์ทรุดหนัก”
“ตอนที่ผมไปที่ศิริราชแถลงการณ์ยังไม่ออกมา แต่ผมอยากไปอยู่ตรงนั้นก่อน แต่ตอนนั้นในโซเชียลก็มีข่าวลือต่างๆ ออกมา แต่เราก็ไม่รู้ว่าจริงแท้ยังไง แต่ผมก็อยากไปอยู่ตรงนั้น เอาความรู้สึกจริงๆ คือผมอยากไปส่งกำลังใจครับ อยากไปส่งกำลังใจถึงพระองค์ท่าน และหากว่าวันนั้นจะเป็นวันที่พระองค์ท่านจากไปจริงๆ ผมก็อยากไปอยู่ให้ใกล้พระองค์ที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ก่อนที่แถลงการณ์จะออกมาใจผม ผมว่าคงไม่ต่างจากคนไทยทุกคน คือ ทุกคนพยายามหลอกตัวเองว่าไม่จริง เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เป็นเรื่องจริง มันกะทันหันเกินไปที่ตัวเราจะรับได้ ช่วงเวลานั้นก็เลยเหมือนทุกคนรอฟังแถลงการณ์คอนเฟิร์มดีกว่า ว่าท่านจากไปจริงๆ แล้วนะ”
ภาพอันประทับใจในเวลานั้น คือ ประชาชนคนไทยที่เดินทางไปเฝ้าที่โรงพยาบาลศิริราช สายตาทุกดวงต่างมองไปยังชั้น 16 ของอาคารเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นที่ประทับของ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ เสมือนเป็นการส่งหัวใจไปถึงพระองค์ พ่อผู้เป็นที่รักเหนือหัว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือปั้นจั่นที่ก็มองไปยังชั้น 16 อย่างไม่ละสายตาเช่นเดียวกัน เมื่อถามถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นว่ารู้สึกอย่างไรและคิดอะไรอยู่ เจ้าตัวเผยเสียงสั่นว่า ในใจตอนนั้นผมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพระองค์
“พูดแล้วก็….(เงียบไป) ตอนนั้นผมคิดว่า ผมโชคดีจังเลยที่ได้เกิดมาเป็นประชาชนของพระองค์ ผมไม่รู้จะพูดยังไง (เสียงสั่น) จะพูดว่าสาบานก็ได้ ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เป็นอะไรก็ได้ที่ได้รับใช้พระองค์อีก ไม่ว่ารับใช้ด้านใดก็ได้ ถึงแม้จะเล็กน้อยแต่ขอให้ได้เกิดในแผ่นดินของพระองค์อีก คือ เราก็ไม่รู้นะว่าเราผูกพันมาอย่างไร อาจจะด้วยสิ่งที่ปู่ย่าตายายปลูกฝังมา และเห็นจากพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทำเพื่อคนไทย ความรักครั้งนี้ไม่ใช่ความรักจากเราสู่พระองค์ท่านแค่คนเดียว แต่มันเกิดจากพลังความรักของคนไทยทุกคนถึงคนๆ นึง เป็นพลังความรักที่มหาศาล เลยยิ่งทำให้มีผลกับความรู้สึกของเราขนาดนี้”
แล้วเหตุการณ์ที่คนไทยทุกคนไม่อยากให้เป็นเรื่องจริงก็เกิดขึ้น หลังฟังแถลงการณ์สำนักพระราชวัง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต หัวใจคนทั้งประเทศเหมือนแตกสลาย บรรยากาศภายในโรงพยาบาลศิริราชเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลรินออกมาเหมือนใจจะขาด แต่ในห้วงเวลานั้น “ปั้นจั่น” ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ของผู้คน ได้ตะโกนขึ้นมาว่า “ทุกคนก้มลงกราบๆ” ก่อนที่เจ้าตัวจะคุกเข่าพนมมือ แล้วก้มลงกราบบนพื้นดินน้ำตานองหน้า โดยมีประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ก้มลงกราบส่งพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย เป็นการแสดงความเคารพสูงสุดต่อพ่อของแผ่นดิน
“ผมรู้ว่าทุกคนเสียใจ และทุกคนแสดงออกในความเสียใจในอาการที่ไม่เหมือนกัน พอพระองค์ท่านจากไปแล้ว ในความรู้สึกของผมในตอนนั้นที่ตะโกนออกไป ผมแค่อยากบอกทุกคนว่า เรากราบส่งพระองค์ท่านครั้งสุดท้าย ความรู้สึกเราก็อยากให้ทำโดยพร้อมเพรียงแต่ตอนนั้นทุกคนร้องไห้และบรรยากาศในตอนนั้นอาจทำให้ไม่ได้ยินกันทั้งหมด หรือไม่มีคนได้ยิน (เราอยู่ในเหตุการณ์ เชื่อว่า คนที่อยู่บริเวณนั้นได้ยิน เพราะหลังจากปั้นจั่นตะโกนทุกคนก็ก้มลงกราบพร้อมกัน?) ครับ ความรู้สึกของผมที่กราบ เพราะการลงไปกราบให้ต่ำที่สุดคงเป็นสัญลักษณ์แสดงความเคารพท่านที่ดีที่สุดแล้ว”
“หลังจากเหตุการณ์ตรงนั้นผมก็พาคุณแม่กลับบ้าน ในครอบครัวก็มีการปลอบใจกันและพูดคุยกันถึงเหตุบ้านการเมืองว่าจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป คุณแม่กับคุณพ่อก็เล่าให้ฟังถึงสมัยปู่ย่าตายาย แล้วผมก็นึกถึงเรื่องที่คุณยายเล่าให้ฟังสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 8 สิ้น ว่า บ้านเมืองเป็นยังไง ตอนนั้นที่เราฟังก็ไม่ได้รู้สึกมากมายเท่านี้เพราะเราไม่ได้เกิดในยุคของพระองค์เราจึงยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่ยายบอกว่าน้ำตาท่วมแผ่นดิน พอมาวันนี้ ในวันที่เกิดขึ้นในยุคของเรา ผมเข้าใจแล้วว่าคำว่าน้ำตาท่วมแผ่นดินเป็นยังไง”
ลั่นไม่ได้ถูกล้างสมองให้รัก ในหลวง เจ้าตัวเผยจากหัวใจลูกผู้ชาย ผมเชื่อมั่นและศรัทธาในพระองค์ท่านอย่างหมดหัวใจ ทุกครั้งที่คนไทยตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ในหลวง รัชกาลที่ ๙ เป็นคนเดียวที่รวมใจคนไทยและนำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตเหล่านั้นมาได้ชนิดที่ไม่มีใครในประเทศนี้ทำได้
“สิ่งนึงคือผมรู้สึกโชคดีที่ผมได้เกิดในแผ่นดินของพระองค์ท่าน เด็กที่เกิดในยุคนี้บางคนเขาอาจจะรู้ว่าเขาเกิดในยุคของในหลวง รัชกาลที่ ๙ แต่ว่าสิ่งที่พระองค์ท่านทำเพื่อแผ่นดินที่เด็กยุคนี้ได้ซึมซับยังน้อยอยู่ ผมอยากจะพูดอย่างนึงให้คนไทยได้เคลียร์คัทสำหรับคนไทยที่มีความคิดต่าง ซึ่งอาจจะเซ้นซิทีฟนิดนึงแต่ผมอยากจะบอกว่า การรักในระบอบพระมหากษัตริย์ไม่ได้เป็นเรื่องของการล้างสมองหรือ psychology ยัดเยียดหรืออะไรทั้งสิ้น”
“ผมรู้สึกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่สมบูรณ์ทุกอย่าง และที่พวกเราอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ทุกคนชอบพูดว่าอาจารย์สอนประวัติศาสตร์สอนเสมอว่าพระมหากษัตริย์ทำให้เรามีวันนี้ ซึ่งนั่นคือส่วนนึง แต่อย่าลืมว่าคนไทยประชาชนทั้งหมดก็คืออีกส่วนนึง เพราะว่าทุกคนมีพระมหากษัตริย์เป็นที่ตั้ง เลยทำให้เป็นศูนย์รวมจิตใจ และทำให้เราผ่านสถานการณ์เลวร้ายมาได้ในทุกครั้ง ฉะนั้น ผมรู้สึกว่านี่แหละคือสถาบันที่ต้องแข็งแรงและสำคัญมากที่สุด ถ้าคนไทยขาดไปคนไทยไม่มีที่ยึดเหนี่ยวครับ เวลาคนไทยแตกกันเป็นเสี่ยงๆ รัฐบาลก็ไม่สามารถรวมประชาชนได้เป็นหนึ่ง พระพุทธศาสนาก็ยังทำไม่ได้ แต่ในหลวงองค์เดียวทำได้ ในหลวงพูดซ้ายคนไปซ้าย ในหลวงพูดขวาคนไปขวา ผมถามว่าทำไม ทุกคนอยากจะตั้งคำถาม แต่ผมไม่เคยคิดสงสัยหรือตั้งคำถามกับเรื่องพวกนี้เลย ผมมีคำเดียวที่จะให้คือ เชื่อมั่นและศรัทธาในพระองค์ท่าน ผมเชื่ออย่างหมดหัวใจครับ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่การถูกล้างสมอง”
ลั่นตนยอมตายแทนพ่อและแม่ได้ยังไง ตนก็ยอมตายแทน ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ได้แบบนั้นเช่นเดียวกัน
“บางคนอาจจะถามว่าทำไมเราถึงรักในหลวงมากขนาดนั้น เราได้มีโอกาสใกล้ชิดหรืออะไร แต่เหตุผลส่วนตัวผมคือทุกคนในครอบครัวรักพระองค์ท่าน คนที่ผมรักมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ทุกคนบอกผมว่าท่านคือพระมหากษัตริย์องค์ที่พวกเขารักมากที่สุด และเป็นองค์ที่เขาสามารถแลกชีวิตได้ ฉะนั้นคนที่ผมรัก คนที่อยู่รอบตัวผมสามารถแลกชีวิตได้ ผมตายแทนคนในครอบครัวได้ทุกคน แล้วถ้าคนในครอบครัวผมจะไปตายแทนพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ แล้วทำไมผมถึงจะทำสิ่งนี้ไม่ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ง่ายมากๆ ที่จะบอกว่าทำไมผมถึงรักพระองค์ท่าน ถ้าถามว่ารักพระองค์ท่านเพราะอะไรไม่ต้องนับสิ่งที่พระองค์ท่านทำเพื่อประชาชนเพราะมันเยอะแยะมากมาย และเราก็เห็นเป็นรูปธรรมหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโครงการหลวงที่ช่วยคนจน ไม่นับกับที่ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่ลงมาอยู่กับประชาชน ผมอิจฉาคนจนด้วยซ้ำที่ได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านมากกว่าพวกเราเวลาที่ท่านเสด็จไปตามที่ต่างๆ”
“ผมปฏิญาณไว้ว่าหนึ่งชีวิตที่เกิดมาจะขอรับใช้ส่วนรวม อยากมีผลงานสักหนึ่งชิ้นที่ตั้งใจว่าจะทำให้ประจักษ์ว่าเราได้ช่วยเหลือบ้านเมืองและสังคม ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ได้หรือเมื่อไหร่ก็ได้แต่ชีวิตนึงขอหนึ่งผลงาน เพื่อเป็นการตอบแทนพระองค์ในฐานะประชาชนของพระองค์ท่าน คนหนึ่งครับ”
“ปั้นจั่น” เผยทำใจลำบาก เมื่อรู้ว่าเหลืออีกไม่กี่วันก็จะถึงวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ แม้จะเป็นวันที่ไม่มีใครอยากให้มาถึง แต่ทุกคนต้องรับความจริงให้ได้ คนไทยทุกคนต้องก้าวต่อไปด้วยความสามัคคีเพราะคนที่รวมจิตใจของพวกเราไม่อยู่แล้ว
“ผมคิดมาตลอด ตอนนี้เวลาเปิดทีวีดูเห็นเพลงที่เกี่ยวกับพระองค์ท่านทุกคนก็นั่งซึม เปลี่ยนช่องหนีเพราะว่ามันเศร้าแล้วน้ำตาก็ไหล แต่ความรู้สึกผมจริงๆ ถ้ายังไม่ถึงวันนั้นจริงๆ (ถวายพระเพลิงพระบรมศพ) ก็ยังรู้สึกว่าท่านยังอยู่ แม้ท่านจากไปแล้วเหลือแต่ร่าง แต่ผมยังรู้สึกถึงบารมีที่ยังปกป้องดูแลคนไทยอยู่เลย แล้วหากวันต้องเผาแล้วร่างสลายไปจริงๆ มันก็ทำใจลำบากนะ เหมือนท่านไปแล้วจริงๆ ทีนี้ก็เหลือแต่คำสอนแล้ว ร่างไม่อยู่ให้คนเข้าไปกราบไหว้แล้ว เหลือแต่อัฐิ เหลือแต่คำสอน เหลือแต่ภาพความทรงจำ เป็นสิ่งที่คนไทยต้องรับให้ได้ อย่างที่ทุกคนบอกเราต้องก้าวต่อไป แต่จะก้าวยังไง และก้าว ก้าวนี้ต้องเป็นก้าวที่พร้อมเพรียงและสามัคคี เพราะคนที่รวมใจพวกเราทุกคนไม่อยู่แล้ว”
พร้อมกันนี้ เจ้าตัวยังฝากถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้อย่างน่าฟังว่า ต่อจากนี้ไปแผ่นดินนี้จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ฉะนั้น ต้องมีสติและมีสำนึกให้มากที่สุด
“ถ้าเราบอกว่ารักพระองค์ท่านจริงๆ เราต้องใช้สติให้มาก โดยเฉพาะผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ผมไม่ได้มองถึงรากหญ้าทั่วไปประชาชนอย่างเรา เพราะประชาชนอย่างเราก็แค่เป็นเบี้ยบ้ายรายทาง แต่คนที่ต้องมีสติและมีสำนึกมากที่สุดคือผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่จะนำพาทุกคนผ่านไปให้ได้ คุณคือคนสำคัญที่จะทำให้หลังจากนี้อีกแผ่นดินนึงจะเป็นยังไง มันขึ้นอยู่กับพวกคุณแล้ว ผมไม่สามารถตอบได้เพราะผมไม่ใช่ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง แต่ผมก็ยังคงมีความศรัทธาผู้ใหญ่ในบ้านเมืองว่าเขาจะทำยังไงต่อไป คิดถึงตัวเองให้น้อยลงนิดนึงแล้วคิดถึงส่วนรวมให้มากขึ้น ผมรู้ว่าเหรียญมีสองด้าน มันไม่มีอะไรดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ขอให้ดีมากกว่าไม่ดีก็พอ เพราะที่ผ่านมามันไม่ดีมากกว่าดีไงครับ”
ความฝันสูงสุดของ “ปั้นจั่น” ในชาตินี้ คือ การได้เข้าเฝ้าฯ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ สักครั้ง แต่ในเมื่อไม่มีโอกาสได้ทำอย่างที่ฝัน ชาติหน้าขอเกิดเป็นธุลีให้พระองค์เดินก็เป็นบุญสูงสุดแล้ว
“ถ้าถามว่าอยากบอกอะไรกับพระองค์ ตอนเด็กๆ ผมมีความฝันอย่างนึง คือในฐานะนักแสดงผมเคยคิดว่าการได้รางวัลสุพรรณหงส์ ผมจะได้รับรางวัลจากพระองค์ท่าน แต่มาในยุคของผมที่เข้าวงการ รางวัลนี้ไม่ได้รับจากมือของพระองค์ท่าน ในความฝันเดิมผมคิดว่าผมจะมีวิธีไหนที่จะทำความดีเพื่อแผ่นดินแล้วก็ได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่านสักครั้งนึง แต่สิ่งนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับผม ก็คงจะเหลือแค่ว่าผมจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และจะตั้งใจทำตามที่พระองค์ท่านสอน เพราะทุกวันนี้ผมก็ยึดคำสอนของพระองค์ท่านในเรื่องของความพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำเพื่อส่วนรวมให้มาก ผมคิดว่าการเป็นประชาชนของพระองค์ท่านที่ดีเราสามารถทำได้ ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากมายเลยจริงๆ ครับ ถ้าชาติหน้ามีจริงผมก็ขอเกิดเป็นประชาชนของพระองค์ท่าน ให้เกิดเป็นธุลีให้พระองค์ท่านเดินก็ได้ครับ”