เชียงใหม่ริมดอย เหนือจอง 10.42% หรือที่ 1.549 บาท เหนือราคาจองที่กำหนดไว้หุ้นละ 1.44 บาท โบรกฯ ประสานเสียง ราคาที่เหมาะสมเหนือ 2 บาท เหตุเป็นผู้นำในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในเขตภาคเหนือตอนบน มีฐานลูกค้าที่มั่นคงทั้งภาครัฐ และเอกชน สร้างความต่อเนื่องของรายได้ และมีศักยภาพในการรับงานรับเหมาก่อสร้างได้หลายประเภท
วันนี้หุ้นของบริษัท เชียงใหม่ริมดอย จำกัด (มหาชน) หรือ CRD เข้าเทรดเป็นวันแรก โดยเปิดตลาดพบว่า ราคาหุ้นอยู่ที่ 1.75 บาท สูงกว่าราคาจองที่กำหนดไว้หุ้นละ 1.44 บาท ระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 1.84 บาท ต่ำสุดที่ 1.57 บาท และเมื่อตลาดปิดพบว่า ราคาหุ้นอยู่ที่ 1.59 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท หรือ 10.42% มูลค่าซื้อขาย 821.42 ล้านบาท
บล. ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯ ประเมินมูลค่ายุติธรรมสำหรับปี 2561 ของ CRD ไว้ที่ 2.18 บาท อ้างอิงระดับ PER ที่ 13 เท่า ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีของกลุ่มอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างที่ไม่รวมบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ ได้แก่ CK, ITD, STEC และ UNIQ เนื่องจาก CRD เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดเล็ก พร้อมกันนี้คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลร้อยละ 3.1 ต่อปี
ทั้งนี้ ประเมิน ณ สิ้นปี 2560 CRD จะมีรายได้รวมราว 1,549 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นที่ราวร้อยละ 9.1 และยังมีงานในมืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้คาดว่าในปี 2560 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 56 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 36.9 จากปีก่อน ทั้งนี้ คาดกำไรปี 2561 และปี 2562 อยู่ที่ 84 ล้านบาท และ 97 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปี 2560-2562 ร้อยละ 30.87 ต่อปี
โดย CRD มีจุดเด่นในการลงทุนดังนี้ คือ เป็นผู้นำในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในเขตภาคเหนือตอนบน มีฐานลูกค้าที่มั่นคงทั้งภาครัฐ และเอกชน สร้างความต่อเนื่องของรายได้ และมีศักยภาพในการรับงานรับเหมาก่อสร้างได้หลายประเภท ทั้งงานก่อสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้างทั่วไป และระบบงานสาธารณูปโภค สามารถลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง (4) เน้นคุณภาพงานก่อสร้าง และการส่งมอบงานให้ทันตามกำหนดเวลา ด้วยการควบคุมงานอย่างใกล้ชิดโดยวิศวกร และทีมงานของบริษัท (5) ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ทั้งภายในองค์กร และคู่ค้า เช่น ผู้รับเหมา และแรงงานให้ได้มาตรฐาน
บล. ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯ ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ CRD ที่ 2.00-2.30 บาท โดยเทียบกับ PER เฉลี่ยที่ 18-20 เท่า มองว่า CRD มีโอกาสในการเติบโตที่สูงจากเงินทุนที่เพิ่มขึ้น และการซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์ใหม่ รองรับการก่อสร้างที่จะเติบโตจากการตัวของเมือง และระบบสาธารณูปโภค โดยมีความเสี่ยงสำคัญ คือ การประมูลงานในอนาคต
เพราะ CRD ประกอบธุรกิจ 2 ประเภท คือ ให้บริการรับเหมาก่อสร้างอาคาร และสิ่งปลูกสร้างทั่วไป รับเหมาก่อสร้างงานระบบสาธารณูปโภคด้วยทีมวิศวกรมืออาชีพ ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้จากงานภาครัฐต่อเอกชนอยู่ที่ 86:14 และการแข่งขันในธุรกิจค่อนข้างสูง และการรับจ้างให้บริการจัดเก็บและกำจัดขยะมูลฝอย ซึ่งบริษัทเหลือสัญญาให้บริการ 1 สัญญาในกิจการร่วมค้า ซึ่งจะครบกำหนดสัญญาในเดือน มิ.ย. 2563 แต่ไม่มีแผนที่จะทำกิจการนี้ต่อ เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับกรรมการ และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือทั้งสิ้นประมาณ 1 พันล้านบาท และเตรียมประมูลงานเพิ่มมูลค่า 300-500 ล้านบาทในช่วง 4Q17-1Q18 และมีแผนลงทุนเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้างเพิ่มเติม อาทิ ปั้นจั่น, รถแม็คโคร, รถเครน, รถตัก, รถบดดิน เป็นต้น ภายในปี 2560-2561 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพของบริษัทในการเข้ารับงานโครงการจากหน่วยงานราชการ และเอกชนมากขึ้นเป็นต้น
บล. ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น IPO ของ CRD ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมปี 61 โดย อิง PER ที่ 14 เท่า ได้เท่ากับ 1.90 บาท คาดกำไรสุทธิปี 60-61 โตเฉลี่ย 27% ต่อปี เนื่องจาก CRD เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างทั้งงานก่อสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้างทั่วไป และระบบงานสาธารณูปโภคครอบคลุมทุกภูมิภาค แต่เน้นภาคเหนือตอนบน จุดเด่น คือ เน้นคุณภาพงานก่อสร้างและการส่งมอบทันตามกำหนด โดยมีประสบการณ์กว่า 27 ปี ด้วยธุรกิจก่อสร้างที่กลับมาเป็นขาขึ้นจากการลงทุนภาครัฐ และภาคเอกชน ที่เริ่มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ กอปรกับมี Backlog ปีนี้กว่า 1 พัน ลบ.