บุรีรัมย์ - ครอบครัว “ยายบุรีรัมย์” ผวาไม่ปลอดภัย หลังหมดอายุความ 20 ปีคดีเพื่อนบ้านยิงสามีเสียชีวิต ผู้ต้องหามือฆ่ายังลอยนวล พร้อมเผยหลักฐานเมื่อต้นปีเคยขอคัดสำเนาบันทึกประจำวันที่โรงพักเพื่อเป็นหลักฐานรื้อฟื้นคดี แต่ตำรวจอ้างทำลายแล้ว ส่วนบ้านผู้ต้องหายังปิดเงียบ ขณะจำเลยที่ 1 ที่เคยตกเป็นผู้ต้องหาและต่อสู้คดีจนศาลยกฟ้องออกมาเปิดใจ ตำรวจจับมั่ว
วันนี้ (29 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า หลังจากเมื่อวานนี้ (28 มิ.ย.) ครบกำหนดหมดอายุความ 20 ปี ในคดีที่ นายบัวพา พูนไธสง ตกเป็นผู้ต้องหาใช้อาวุธปืนยิง นายมน แสนประเสริฐ สามี นางสง่า แสนประเสริฐ อายุ 62 ปี ชาวบ้านหัวสะพาน ต.ช่อผกา อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ เสียชีวิตในงานแต่งงานของเพื่อนบ้านใน ต.ช่อผกา อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมตัวนายบัวพา ผู้ต้องหาส่งศาลได้ทันเวลาเที่ยงคืน ทางศาลได้จำหน่ายคดีดังกล่าวออกจากระบบ และตามกฎหมายถือว่า นายบัวพาพ้นผิด
ขณะที่ นายสมคิด แสนประเสริฐ บุตรชาย ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ยื่นฟ้องศาลให้ดำเนินคดีต่อนายบัวพา ผู้ต้องหา ต่างรู้สึกกังวลใจเกรงว่าครอบครัวจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากหมดอายุความแล้วแต่ผู้ต้องหากลับไม่ถูกดำเนินคดี และตอนนี้ครอบครัวยังไม่รู้ว่าจะสามารถทำอะไรหรือจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป เพราะที่ผ่านมาตลอด 20 ปีพยายามเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับพ่อที่เสียชีวิตมาโดยตลอด แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับความเป็นธรรม
พร้อมกันนี้ นายสมคิดยังได้นำเอกสารบันทึกประจำวัน ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ตัวเองเคยไปขอคัดสำเนาที่ สภ.ชำนิ ท้องที่เกิดเหตุ เพื่อขอสำนวนคดีที่พ่อถูกยิงเสียชีวิตเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการรื้อฟื้นคดี แต่ตำรวจกลับบอกว่าได้ถูกทำลายไปตามระเบียบของกฎหมายแล้ว ประกอบกับที่ผ่านมาตั้งแต่วันเกิดเหตุตนไม่เคยถูกเรียกเข้าให้ปากคำเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่วันเกิดเหตุตนอยู่ในเหตุการณ์และมีคนเห็น แต่พนักงานสอบสวนกลับไปสอบพยานแวดล้อมอื่นๆ จึงมองว่าการทำคดีส่อพิรุธมีเงื่อนงำ หากเป็นไปได้อยากให้ตำรวจเปิดเผยสำนวนให้ดูเพื่อความบริสุทธิ์โปร่งใสในการทำคดีของตำรวจ
ส่วนบรรยากาศที่บ้านของ นายบัวพา ผู้ต้องหา หลังสิ้นสุดอายุความเมื่อวานนี้ (28 มิ.ย.) แต่บ้านยังปิดเงียบไม่พบตัวนายบัวพา หรือคนในครอบครัวเดินทางกลับมาที่บ้านแต่อย่างใด
ขณะที่ นายพนม สีสุระ ซึ่งเคยตกเป็นจำเลยที่ 1 ได้ต่อสู้คดี และศาลพิพากษายกฟ้องตั้งแต่แรก ซึ่งได้เดินทางกลับมาจากทำงานที่ต่างจังหวัด ได้ออกมาเปิดใจว่า วันเกิดเหตุ (28 มิ.ย. 40) ตนไม่ได้อยู่ในงานแต่งงาน แต่นั่งดื่มเหล้าอยู่กับลูกชายคนโตของนายมน ผู้ตาย กระทั่งได้ยินเสียงปืนจึงเดินไปดูเหมือนกับชาวบ้านคนอื่น พอวันต่อมากลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับตัวที่บ้าน และถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมก่อเหตุยิงนายมนเสียชีวิต ซึ่งตนยืนยันว่าไม่ได้ก่อเหตุเพราะนั่งอยู่กับลูกชายคนตาย ซึ่งเป็นพยานได้ แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรถึงตกเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าว พร้อมเปิดเผยว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายเคยมีเรื่องกับนายบัวพา ผู้ต้องหาที่ 2 จริง
อนึ่ง คดีดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2540 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยมีผู้ตกเป็นผู้ต้องหา 2 คน คือ นายพนม สีสุระ จำเลยที่ 1 และ นายบัวพา พูนไธสง จำเลยที่ 2 แต่นายพนม จำเลยที่ 1 ไม่ได้ต่อสู้คดีว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ กระทั่งถูกศาลยกฟ้องเนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ
ส่วนนายบัวพาหลบหนีไปนานถึง 17 ปี แล้วถูกตำรวจจับกุมตัวได้เมื่อปี 2557 ตามหมายจับของศาลที่ จ.ระยอง จากนั้นถูกส่งตัวกลับมา สภ.ชำนิ ท้องที่เกิดเหตุ ทางพนักงานสอบสวนได้ทำการสืบสวนสอบสวน และส่งฝากขังที่ศาล 3 ครั้ง ต่อมาภรรยานายบัวพาได้ยื่นขอประกันตัวในชั้นศาล และศาลพิจารณาให้ประกันตัว
ต่อมาพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนคดีส่งอัยการ ต่อมาอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ จากนั้นนายบัวพาออกมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านตามปกติ
กระทั่งเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2560 ที่ผ่านมา ทางครอบครัวได้ให้ทนายยื่นฟ้องต่อศาลอีกครั้ง และศาลรับฟ้องพร้อมนัดไต่สวนจำเลย นายบัวพา พูนไธสง ในวันที่ 23 มิ.ย. แต่นายบัวพา จำเลยหลบหนีไม่มาตามนัด ศาลจึงออกหมายจับก่อนหมดอายุความเพียง 8 วัน ซึ่งตำรวจได้ออกติดตามตัว แต่ไม่สามารถจับกุมตัวมาส่งศาลได้ จนสิ้นสุดคดี หมดอายุความลงเมื่อวานนี้ (28 มิ.ย.)