ศูนย์ข่าวศรีราชา - ทายาทรุ่น 2 นักธุรกิจค้าข้าวตราไก่แจ้ และกระเช้า ใน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ผุดไอเดียเก๋สร้างแบรนด์ขนมไทย ทั้งข้าวต้มมัด ข้าวเหนียวทุเรียน ข้าวเหนียวมะม่วง เผือกฉาบ มันฉาบ ภายใต้แบรนด์ “แม่นภา” ตีตลาดต่างประเทศ สร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกันยังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รองรับความต้องการ หลังรัฐบาลผุดโครงการ EEC ใน 3 จังหวัดตะวันออก
นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล เลขาธิการหอการค้า จ.ชลบุรี ในฐานะกรรมการบริหาร บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด ผู้จำหน่ายข้าวสารตรา “ไก่แจ้” และ“กระเช้า” ซึ่งมีโรงงานอยู่ใน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี และยังเป็นเจ้าของแบรนด์ขนมไทย “ตราแม่นภา” ที่มียอดขายไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาทต่อปีในตลาดต่างประเทศ ที่สำคัญยังเป็นสินค้ายอดนิยมในโมเดิร์นเทรด และร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ของไทย เผยว่า หลังธุรกิจค้าข้าวสาร ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่ดำเนินมานานกว่า 30 ปี ประสบผลสำเร็จทั้งในแง่ของการขยายพื้นที่การตลาด
จากเดิมที่ค้าส่งอยู่เพียง 3 อำเภอใน จ.ชลบุรี ประกอบด้วย พนัสนิคม เมืองชลบุรี และศรีราชา และเป็นเพียงการดำเนินงานในลักษณะนิติบุคคล ที่มีเพียงโรงแพกข้าวในเนื้อที่ขนาดเล็ก มีพนักงานไม่ถึง 20 คน แต่ในวันนี้สามารถกระจายสินค้าไปได้ในทุกหมู่บ้านหลายจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ และโมเดิร์นเทรด จนถึงตลาดต่างประเทศในระยะเวลาเพียง 8-9 ปีที่ผ่านมา จนเพิ่มยอดขายจากหลัก 10 ล้านบาท เป็นกว่าพันล้านบาทต่อปี
จึงมีแนวคิดในการยกระดับการพัฒนาระบบงานภายในทั้งบุคลากร และการขยายพื้นที่การค้า รวมทั้งสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ภูมิปัญหาไทยให้เป็นที่รู้จักทั้งใน และต่างประเทศ ด้วยการสร้างนวัตกรรมใหม่ต่อยอดภูมิปัญญาให้แก่สินค้าที่มีโดยระดมความคิดว่าจะเพิ่มสินค้าใหม่อย่างไร นอกจากข้าวสารที่นำมาบรรจุถุงขาย
“ เพราะครอบครัวของเราเป็นชาว อ.พนัสนิคม ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวที่สำคัญของ จ.ชลบุรี ประกอบกับเมื่อครั้งๆเป็นเด็ก ยังชอบรับประทานขนมไทย เพราะครอบครัวไม่สนับสนุนให้รับประทานขนมซองที่มีทั้งรถเค็มและผงชูรส จึงคิดว่าขนมไทย นอกจากจะส่งเสริมความเป็นไทยแล้วยังมีคุณค่าทางอาหาร ซึ่งสินค้าตัวแรกที่นึกถึงก็คือ ข้าวต้มมัด เพราะเป็นเมนู ที่คุณแม่ทำให้กินเป็นประจำ เมื่อทำออกขายจึงใต้ชื่อ แม่นภา ซึ่งเป็นชื่อของคุณแม่ โดยใช้สูตรการทำข้าวต้มมัดแบบโบราณที่มีทั้งความมันของกะทิ และความหวานจากกล้วยเป็นจุดขาย เสริมด้วยการใช้นวัตกรรมสมัยใหม่ด้านบรรจุภัณฑ์ที่มีกรรมวิธีในการเก็บรักษาคุณภาพอาหาร เนื่องจากข้าวต้มมัดที่เราทำออกขาย ไม่ใส่สารกันบูด แต่สามารถวางบนชั้นสินค้าได้นานถึง 1 ปี ”
ในวันนี้ข้าวต้มมัดตรา “แม่นภา” ไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักใน จ.ชลบุรีเท่านั้น แต่ยังกระจายไป กว่า 20 ประเทศทั่วโลก และมีกลุ่มลูกค้าหลักคือ ประเทศจีน, เกาหลี ,ยุโรป ,อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และอิสราเอล ที่สำคัญยังมีดิสทริบิวเตอร์ในต่างประเทศ ให้ความสนใจสั่งซื้ออีกเป็นจำนวนมาก จนทำให้ ข้าวต้มมัดตรา “แม่นภา” แตกไลน์การผลิตขนมไทยไปถึง กล้วยเบรกแตก ,เผือกเบรกแตก, มันเบรกแตก และถั่วกลอย ฯลฯ ออกจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด ,ร้านเซเว่นฯ และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศและส่งออกในหลายประเทศ
และจุดเริ่มต้นของการสร้างชื่อขนมไทยในตลาดต่างประเทศ ของแบรนด์ แม่นภา ยังมีจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ารสชาติความอร่อยตามสูตรขนมไทยโบราณ และคุณภาพของวัตถุดิบที่ได้มาตรฐานจากเกษตรกรในท้องถิ่น แต่ภาพลักษณ์สินค้าและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้า ทำให้เมื่อครั้งที่บริษัทแห่งนี้ นำสินค้าจัดแสดงในงานนวัตกรรมอาหารไทย ที่จัดขึ้นเมื่อกรุงเทพฯเมื่อหลายปีก่อน ได้รับความสนใจจากผู้ที่เข้าร่วมงาน รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ที่ให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชมบูธ จนนำมาซึ่งการสั่งซื้อสินค้าล็อตใหญ่เพื่อวางจำหน่าย ก่อนขยายกลุ่มผู้บริโภคไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในแถบยุโรป และยังมีแนวโน้มที่จะขยายตลาดอย่างต่อเนื่องจากการเดินหน้าอย่างจริงจัง ในการจัดโรดโชว์แสดงสินค้าในงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ และในวันนี้ยังขยายพื้นที่ตลาดสู่ขนมข้าวเหนียมะม่วง,ข้าวเหนียวทุเรียน,ข้าวต้มใส่ถั่วฯ,ฯ
“ยอดขายเฉพาะขนมไทยในวันนี้มีไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาทต่อปี และยังมีการเติบโตทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง หลังเปิดตัวได้เพียง 3 ปี วันนี้บริษัทฯ จึงต้องเพิ่มอัตราการจ้างงานโดยเน้นคนพื้นที่เป็นหลัก 80-90% ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไม่ว่าจะเป็นกล้วย เผือก มัน ก็จะรับซื้อจากเกษตรกรในพื้นที่เป็นหลัก เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ควบคู่ไปกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ให้แก่สินค้าของเรา สอดรับต่อนโยบายการพัฒนาประเทศในโครงการ Thailand 4.0 และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมทั้งการเป็นเมืองแห่งอินโนเวชัน นวัตกรรม และเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นเทรนด์ในอนาคตที่รัฐบาลกำลังให้การสนับสนุน”
นายธีรินทร์ ยังเผยอีกว่า วันนี้บริษัทฯ ยังขยายธุรกิจไปทางด้านอสังหาริมทรัพย์ จากการปลูกฝังของครอบครัวที่ชื่นชอบการซื้อที่ดินสะสม และพัฒนาที่ดินที่มีอยู่ให้เกิดมูลค่าเพิ่ม โดยได้เริ่มต้นพัฒนาธุรกิจโรงแรม ทั้ง ราชาเรสซิเดนท์ ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และโครงการ ธาริส อาร์ท โฮเทล ที่ จ.แพร่ รวมถึงพัฒนาอพาร์ตเมนต์ในนิคมฯ อมตะนคร จ.ชลบุรี และอีสเทิร์นซีบอร์ด จ.ระยอง เพราะมองว่าธุรกิจอสังหาฯ ในชลบุรี ยังเติบโตได้ เพียงแต่ต้องให้ความสำคัญต่อทำเลที่ตั้ง และความต้องการของตลาด
สอดรับต่อนโยบายสำคัญของหอการค้า จ.ชลบุรี ที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นจริงเพื่อล้อไปกับโครงการ อีอีซี และไทยแลนด์ 4.0 ก็คือ การทำให้ จ.ชลบุรี เป็นเมืองแห่งอินโนเวชัน ฮับ ที่ในอนาคตนวัตกรรมจะไม่ใช่เป็นแค่ทางเลือก แต่จะเป็นทางรอดของธุรกิจในหลายๆ ธุรกิจ และยังสามารถต่อยอดไปถึงต่างประเทศ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจใน จ.ชลบุรี ภาคตะวันออก และในระดับประเทศ โดยเฉพาะภาคการเกษต ให้มีความรู้ในการใส่นวัตกรรมใหม่ในการแปรรูปสินค้าสร้างมูลค่า เช่นเดียวกับสินค้าประมง ที่ยังมีความต้องการในตลาดต่างประเทศสูง แต่เจ้าของสินค้าจะต้องรู้จักการแปรรูปสินค้าให้มีจุดขายเพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้มากขึ้นก่อน