อุบลราชธานี - สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 อุบลราชธานี เตือนนักท่องเที่ยวกางเต็นท์นอนรับลมหนาว ระวังภัยจากไข้มาลาเรียและไข้รากสาดใหญ่ หากมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ หนาวสั่น หรือมีแผลคล้ายรอยบุหรี่จี้รีบพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเข้าไปในป่า
นายแพทย์ ศรายุธ อุตตมางคพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรค ที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี (สคร.10) กล่าวว่า ช่วงนี้นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปสัมผัสอากาศหนาวเย็นตามแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ โดยตั้งแคมป์และนอนกางเต็นท์ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวมีโอกาสถูกยุงกัดเสี่ยงต่อการป่วยเป็นไข้มาลาเรีย
โดยเฉพาะผู้ที่นิยมเข้าป่าตามแนวชายแดน เนื่องจากยุงก้นปล่องที่นำเชื้อมาลาเรียจะพบมากบริเวณป่าเขาชายแดนของประเทศในจุดต่างๆ
นายแพทย์ ศรายุธกล่าวต่อว่า ไข้มาลาเรียมียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค ยุงชนิดนี้มีแหล่งเพาะพันธุ์บริเวณเขาสูง ป่าทึบ สวนยางพารา แหล่งน้ำธรรมชาติ เริ่มออกหากินเวลาใกล้ค่ำจนรุ่งสาง โดยหลังจากถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อมาลาเรียกัดประมาณ 10-14 วันจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ หนาวสั่นสลับร้อน เหงื่อออก รู้สึกสบายแล้วกลับมาเป็นไข้ใหม่อีกครั้ง
ให้ผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวสันนิษฐานไว้ก่อนว่าป่วยเป็นไข้มาลาเรีย พร้อมรีบไปพบแพทย์เจาะเลือดตรวจหาเชื้อมาลาเรีย และต้องแจ้งประวัติการเข้าป่าหรือไปบริเวณพื้นที่เสี่ยงให้แพทย์ทราบด้วยเพื่อให้การรักษารวดเร็ว เพราะหากช้าจนมีอาการแทรกซ้อนร้ายแรงทำให้เสียชีวิตได้
นอกจากนี้ การกางเต็นท์ หรือตั้งแคมป์ในป่าให้ระมัดระวังตัวไรอ่อน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคคับไทฟัส หรือไข้รากสาดใหญ่ ที่อาศัยในขนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู กระแต และชอบกัดมนุษย์บริเวณขาหนีบ เอว ลำตัวแถวใต้ราวนม รักแร้ จะปล่อยเชื้อริกเก็ตเซียเข้าสู่คน ทำให้ผู้ที่ถูกกัดมีไข้สูง ตัวร้อนจัด หนาวสั่น ปวดศีรษะบริเวณขมับ และหน้าผากอย่างรุนแรง อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว ปวดกระบอกตา มีแผลคล้ายถูกบุหรี่จี้มีสีแดงคล้ำเป็นรอยบุ๋มแต่ไม่คัน
และผู้ป่วยประมาณร้อยละ 20 อาจมีอาการแทรกซ้อนอย่างรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น การไปเที่ยวป่ากางเต็นท์นอนควรเลือกที่ตั้งค่ายพักในบริเวณโล่งเตียน หลีกเลี่ยงการนั่ง และนอนบนพื้นหญ้า แต่งกายให้มิดชิด สวมถุงเท้าหุ้มไปจนถึงปลายขากางเกง ทายากันยุง และยาป้องกันแมลงกัดตามแขนขา และควรสังเกตอาการของตนเอง
หากกลับจากเที่ยวป่ากางเต็นท์นอนภายใน 2 สัปดาห์และพบมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเข้าไปในป่าเพื่อแพทย์ให้การรักษาได้อย่างถูกวิธี หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ได้รับอันตรายจากการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงนี้