เพชรบุรี - ตำรวจเพชรบุรี ร่วมทางการพม่า จับ “หมอสุพัฒน์” หนีคำพิพากษาประหารชีวิตคดีฆ่าแล้วฝังแรงงานพม่า ขณะหลบหนีไปกบดานในโรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศพม่า ขณะนี้ยังอยู่ในการควบคุมของทางการพม่า เพื่อรอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมายังไทย
วันนี้ (21 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดเพชรบุรี นำโดย พ.ต.อ.บัญญัติ เพียรตสวัสดิ์ รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี ได้ร่วมกับทางการพม่า จับกุมตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ อดีตอายุรแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ที่หลบหนีคำพิพากษาประหารชีวิตของศาลจังหวัดเพชรบุรี ได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศพม่า หลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสะกดรอยคนใกล้ชิดพบว่า มีการใช้ช่องทางธรรมชาติข้ามไปยังแนวชายแดนประเทศพม่า เพื่อพบกับ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในการควบคุมของทางการพม่า เพื่อรอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมายังไทย
สำหรับคดีของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ศาลจังหวัดเพชรบุรี นัดอ่านคำพิพากษาที่อัยการเป็นโจทก์ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ จำเลยที่ 1 นายอัคร เลาหะวัฒนะ จำเลยที่ 2 และนายเอก เลาหะวัฒนะ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรชาย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ฐานความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันฝัง ปิดบังซ่อนเร้นศพ เพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตายและกระทำการใดๆ แก่ศพ ก่อนมีการชันสูตรพลิกศพเพื่อการอำพรางคดี
โดยคดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2555 นายสว่าง นุ่มจุ้ย เจ้าของไร่สับปะรดใน จ.เพชรบุรี และ น.ส.วิมล บุตรสาวได้ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ว่า พบรถกระบะโตโยต้า ไทเกอร์ สีเทา ของ นายสามารถ นุ่มจุ้ย และ น.ส.อรษา เกิดทรัพย์ ลูกชาย และลูกสะใภ้ที่หายไปพร้อมรถยนต์นานกว่า 3 ปี จอดอยู่ที่บ้านร้างของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ที่จ.นนทบุรี
ต่อมา มีการสืบสวนขยายผลตรวจค้นบ้านพักในไร่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ที่บ้านท่ามะริด ต.กลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี พบโครงกระดูกมนุษย์ 3 ราย ถูกฝังอยู่ โดย 1 ในนั้นมีร่องรอยกระสุนปืนที่กะโหลกศีรษะ เมื่อตรวจพิสูจน์ทางดีเอ็นเอแล้ว พบว่า เป็นโครงกระดูกของ นายอีต้า แรงงานชาวพม่าที่สูญหายไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงติดตามตัว และจับกุมตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ก่อนแจ้งข้อกล่าวหา 3 คดี คือ ค้ามนุษย์ ลักทรัพย์ และฆ่าผู้อื่นโดยปิดบังอำพรางศพ โดย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้ขอประกันตัวสู้คดี
ต่อมา ศาลเพชรบุรีนัดพิจารณาคดีฆ่าผู้อื่น แต่ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ไม่ได้มาศาลทั้งยังไม่ได้ให้ตัวแทนมาแสดงเหตุผลต่อศาลว่าผิดนัดด้วยเหตุใด ศาลจึงออกหมายจับ และให้ยึดหลักทรัพย์ประกันขอปล่อยตัวชั่วคราว จำนวน 3 ล้านบาท และอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย ซึ่งศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งของโจทก์ และจำเลย รวมทั้งพยานคือ นายสรพงษ์ หรือกะลา และนายโย่ง ชาวพม่า คนงานในไร่ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ให้การตรงกันว่า เหตุการณ์ฆาตกรรม นายอีต้า เกิดเมื่อประมาณเดือน ก.พ.2547 เนื่องจาก พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ไม่พอใจที่นายอีต้า สนิทสนมกันนางวิลสา จันทรบัญชร ภรรยาคนที่ 3 ของตัวเอง จึงให้นายกะลา จับกุมนายอีต้า ไปไว้ในไร่แล้วใช้อาวุธปืนจ่อยิงก่อนขุดหลุมฝัง โดยมีนายเอก ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ส่วนนายโย่ง หลบหนีมาได้ ทั้งนี้ ศาลพิจารณาว่า คำให้การของนายอีต้า และนายโย่งสอดคล้องกัน
นอกจากนี้ ผลการตรวจสอบนิติวิทยาศาสตร์ พบว่า กะโหลกที่ขุดพบในจุดที่ นายกะลา ชี้ว่าฝังศพ นายอีต้า มีรอยกระสุนปืน และพบเศษชิ้นส่วนกระสุนปืน เมื่อนำกะโหลกไปตรวจสอบดีเอ็นเอเทียบกับบิดา และลูกชายนายอีต้า พบว่า ตรงกัน จึงยืนยันว่าเป็นกะโหลกของ นายอีต้า ที่ถูกฆาตกรรมโดยการยิงที่ศีรษะตรงกับคำให้การ นายกะลา
ศาลจึงพิพากษาให้ประหารชีวิต พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ และนายเอก เลาหะวัฒนะ บุตรชายข้อหาร่วมกันฆ่าแรงงานชาวพม่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันฝัง ปิดบัง ซ่อนเร้นศพเพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตายและการกระทำใดๆ แก่ศพก่อนมีการชันสูตรพลิกศพเพื่อการอำพรางคดี ส่วนนายอัคร เลาหะวัฒนะ บุตรชายอีกคนที่ร่วมก่อคดี ขณะเกิดเหตุอายุ 19 ปีเศษ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง พิพากษาลงโทษจำคุก 25 ปี 3 เดือน