ศูนย์ข่าวศรีราชา - โครงการ “Waterfront Condominium pattaya” ยอมทุบ 8 ชั้น หลังบดบังภูมิทัศน์ และพระบรมราชานุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ส่วนปัญหาข้อกฎหมายต่างๆ รอพิจารณาจากเมืองพัทยาเท่านั้น พร้อมเสนอคณะกรรมการไตรภาคีเข้าร่วมตรวจสอบช่วงระหว่างการพัฒนาปรับปรุง
วันนี้ (26 พ.ย.) ผู้ประกอบการโครงการ Waterfront Condominium pattaya ประสานงานมายังสมาคมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพื่อให้เป็นคนกลางในการประสานการจัดประชุมร่วมกับตัวแทนภาคประชาชนในพื้นที่เมืองพัทยา เพื่อหารือแนวทาง และวิธีการที่เหมาะสมในการลดผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบโครงการ หลังจากพบว่า ที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่คัดค้านการก่อสร้างโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ด้วยเห็นว่าขนาดความสูงของอาคารไปบดบังภูมิทัศน์ และพระบรมราชานุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ประดิษฐานอยู่บริเวณเขา สทร.5 พัทยา
อีกทั้งยังตั้งข้อสงสัยในเรื่องปัญหาของการก่อสร้างอาคาร กฎหมายสิ่งแวดล้อม และกรรมสิทธิ์ครอบครอง ซึ่งปัจจุบันโครงการดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนของการระงับการก่อสร้างจากเมืองพัทยา ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร เนื่องจากตรวจสอบพบว่ามีการก่อสร้างดัดแปลงอาคาร และมีการบุกรุกที่สาธารณะบริเวณเชิงเขา ซึ่งได้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้แล้ว
ทั้งนี้ สำหรับการประชุมดังกล่าวทางสมาคมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แจ้งว่า มีการทำหนังสือแจ้งไปยังชุมชนกว่า 600 ฉบับ ใน 44 ชุมชน เพื่อให้เข้าร่วมเสนอแนะ หารือและรับฟังแผนในการลดผลกระทบต่อชุมชนของโครงการ แต่พบว่าในที่ประชุมส่วนใหญ่จะเป็นเพียงเจ้าหน้าที่จากสมาคมและตัวแทนของโครงการ ขณะที่มีประชาชนเดินทางเข้าร่วมเพียงไม่ถึง 10 ราย และสื่อมวลชนบางส่วนเท่านั้น
โดย นายสนธิ คชรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานการประชุมชี้แจงว่า การประชุมครั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างโครงการกับชุมชนเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยทางโครงการพร้อมสนองตอบความต้องการของสังคมทุกอย่าง เพื่อให้โครงการสามารถเดินต่อไปได้ โดยการหารือจะเป็นการเน้นไปที่เรื่องของสิ่งแวดล้อม และภูมิทัศน์เป็นหลักว่าจะมีการปรับเปลี่ยนไปในทิศทางใดให้เหมาะสม และสอดคล้องต่อความต้องการของสังคม
ขณะที่ปัญหาอื่นๆ ทั้งเรื่องของกฎหมายควบคุมอาคาร การบุกรุกที่สาธารณะ กฎหมายสิ่งแวดล้อม และการระงับการก่อสร้างนั้นคงเป็นเรื่องตามขั้นตอนของกฎหมาย
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่ผู้คนให้ความสนใจ และติดตามปัญหานี้มาโดยตลอด ซึ่งครั้งนี้มีการฝากประเด็นคำถามมายังโครงการให้ชี้แจงใน 8 หัวข้อหลัก ได้แก่
1.กรณีของถนนบริเวณโดยรอบของโครงการว่าเป็นถนนสาธารณะหรือไม่ เนื่องจากมีข้อกำหนดของกฎหมายในการเว้นระยะของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่
2.ปัญหาการก่อสร้างอาคารที่อยู่ในพื้นที่ระดับน้ำทะเลปานกลางระยะ 100 เมตร ที่ไม่สามารถก่อสร้างอาคารขนาดความสูงเกิน 14 เมตรได้ แต่อาคารดังกล่าวกลับมีขนาดความสูงถึง 53 ชั้น
3.กรณีการจัดการระบบบำบัดน้ำเสียภายในโครงการที่มีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพหรือไม่
4.พื้นที่จอดรถในอาคารที่ใช้ในการรองรับผู้พักอาศัยเพียงพอต่อที่มีกำหนดตามกฎหมายหรือไม่
5.แผนการปรับปรุงปัญหาอาคารที่บดบังทัศนียภาพ และภูมิทัศน์
6.แผนการจัดวางอุปกรณ์ก่อสร้างขนาดใหญ่ในระหว่างการก่อสร้างโครงการ
7.ความชัดเจนของการจัดการบริหารพื้นที่ภายในว่ามีการเปิดให้บริการในลักษณะคอนโดมิเนียมหรือโรงแรม เนื่องจากที่ผ่านมา มีการทำประชาสัมพันธ์ในลักษณะที่ไม่ตรงต่อการขออนุญาต
และ 8.การพัฒนา และจัดการพื้นที่สีเขียวเพื่อให้เกิดความกลมกลืนต่อสภาพภูมิทัศน์
โดยทางด้านตัวแทนจากโครงการกล่าวชี้แจงว่า สำหรับโครงการ Waterfront Condominium pattaya ดำเนินการโดย บ.บาลีฮาย พลาซา โดยเริ่มโครงการหลังผ่านความเห็นชอบการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA จนได้รับอนุญาตจากเมืองพัทยา เมื่อปี 2551 ในลักษณะคอนโดมิเนียม ขนาดความสูง 53 ชั้น จำนวน 315 ห้อง ในพื้นที่รวม 2-1-63.4 ไร่ หรือ 38,503 ตารางเมตร ซึ่งปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างมาแล้วจนถึงชั้นที่ 50 เพียงแต่ติดปัญหาเรื่องของขั้นตอนการระงับการก่อสร้างจากทางเมืองพัทยา ที่มีปัญหาเรื่องของอาคารที่ไม่ตรงตามแบบที่ขออนุญาตในขั้นตอนแรก ซึ่งปัจจุบันทางโครงการได้ทำการแก้ไข และรอการพิจารณาจากเมืองพัทยาเพื่อดำเนินการต่อไป
แต่ด้วยปัญหาผลกระทบชุมชนเป็นกรณีหนึ่งที่ทางโครงการให้ความสำคัญ จึงมีแนวคิดในการประชุมร่วมเพื่อหารือ รับฟังข้อเสนอแนะ และชี้แจงถึงแผนการปรับปรุงเพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการต่อ และอยู่ร่วมกับสังคมได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ทางโครงการมีแผนในการลดพื้นที่ความสูงลงเพื่อแก้ไขปัญหาการบดบังสภาพภูมิทัศน์ด้วยการตัดพื้นที่ของอาคารลง จำนวน 8 ชั้น ซึ่งจะทำให้ความสูงลดลง 21.75 เมตร และจำนวนห้องลดลงเหลือ 304 ห้อง จากเดิมที่มีอยู่ 315 ห้อง ซึ่งจะทำให้ปัญหาเรื่องนี้ลดลง โดยแผนดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการทันทีภายหลังจากที่เมืองพัทยาอนุญาตให้ทำการก่อสร้างต่อไปได้ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 5 เดือน ซึ่งในช่วงดำเนินการจะมีการปิดกั้นผ้าม่านบังฝุ่นทั้งโครงการเพื่อลดปัญหามลพิษด้วย
สำหรับปัญหาต่อข้อสงสัยในปัญหา 8 ด้านนั้น ทางโครงการสามารถชี้แจงได้อย่างครบถ้วน โดยในข้อ 1.ต่อกรณีของถนนโดยรอบโครงการนั้น ที่ผ่านมา มีการสอบถามผ่านไปยังเมืองพัทยาว่าเป็นถนนสาธารณะหรือไม่ ก็ได้รับคำชี้แจงยืนยันตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.2549 ว่า ถนนดังกล่าวเป็นถนนที่ทางกรมโยธาธิการจัดสร้างขึ้นเพื่อใช้ในกิจการของท่าเทียบเรือ พร้อมระบุว่าไม่ใช่ถนนสาธารณะแต่อย่างใด
2.ขณะที่ปัญหาการเว้นระยะจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 100 เมตร ที่ห้ามก่อสร้างอาคารสูงเกิน 14 ชั้น ซึ่งเป็นไปตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมของเมืองพัทยานั้น กรณีดังกล่าวได้รับคำชี้แจงจากเมืองพัทยาว่า โครงการอยู่หลังแนวเขตระยะ 100 เมตรตามที่กฎหมายกำหนด ด้วยพื้นที่ดังกล่าวมีการถมทะเลเพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือโดยกรมโยธาธิการ ซึ่งเป็นโครงการของรัฐ และตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมให้ดูระยะจากพื้นที่ชายฝั่งที่ถมใหม่เป็นหลัก
3.กรณีของปัญหาระบบบริหารจัดการน้ำเสียภายในโครงการนั้น มีแผนในการจัดสร้างระบบบำบัดมาตรฐานที่สามารถรองรับน้ำเสียก่อนปล่อยเข้าสู่ระบบของเมืองพัทยาได้ในอัตรา 280 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ขณะที่ปริมาณการใช้ในโครงการสูงสุดจะอยู่แค่ 240 ลูกบาศก์เมตรต่อวันเท่านั้น จึงถือว่าเพียงพอต่อการใช้
4.กรณีเรื่องของการพื้นที่จอดรถซึ่งกำหนดไว้ที่ต้องรองรับได้ในปริมาณ 149 คันนั้น ทางโครงการได้จัดทำระบบที่จอดรถแบบไฮดรอลิกที่สามารถรองรับได้จำนวนถึง 150 คัน
5.ปัญหาการจัดหาพื้นที่เพื่อจัดวางเครื่องจักรขนาดใหญ่ และอุปกรณ์ก่อสร้างในช่วงดำเนินโครงการที่เป็นห่วงว่าจะมีการใช้พื้นที่สาธารณะบริเวณเชิงเขานั้น กรณีนี้ยืนยันว่าจะใช้พื้นที่ของโครงการในการดำเนินการทั้งหมด
6.รูปแบบการให้บริการที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในลักษณะโรงแรมผิดกับกรณีของร้องขออนุญาตนั้น เรื่องนี้คงจะจัดทำเฉพาะในส่วนของอาคารชุดแบบคอนโดมิเนียมเท่านั้น ขณะที่การประชาสัมพันธ์ก่อนหน้านี้จะทำการยกเลิกทั้งหมด
7.การพัฒนาพื้นที่สีเขียวเพื่อให้เกิดสภาพภูมิทัศน์ที่กลมกลืนกับธรรมชาตินั้น ทางโครงการมีแผนในการจัดทำโซนสีเขียว ด้วยการจัดทำสวนพันธุ์ไม้ใหญ่ในพื้นที่โดยรอบขนาดรวมกว่า 1 ไร่ หรือประมาณ 50% ของพื้นที่โครงการทั้งหมด
และ 8.การปรับสภาพภูมิทัศน์ของตัวโครงการนั้นมีแผนการจัดทำระแนงแบบปิดทึบตลอดทั้งแนวโครงการ รวมทั้งการปรับสีของตึกเพื่อให้กลมกลืนกับสภาพสิ่งแวดล้อมด้วย
ด้านตัวแทนโครงการกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับปัญหาด้านอื่นๆ นั้น ขณะนี้โครงการรอผลการพิจารณาจากเมืองพัทยาซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบอย่างเป็นทางการ โดยหากได้รับแจ้ง หรือทราบว่ามีขั้นตอนใดที่ขัดแย้งต่อกฎหมายก็พร้อมแก้ไข และปฏิบัติตามอย่างเต็มที่ ส่วนที่ว่าจะอนุมัติหรือไม่ และเมื่อไหร่นั้นก็คงเป็นส่วนของภาครัฐ แต่ปัจจุบันก็พร้อมทำการเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงเพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อ และอยู่ร่วมกับสังคมได้เป็นอย่างดี
สำหรับในช่วงท้ายของการประชุมได้มีการนำเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งมีตัวแทนจากภาครัฐ เอกชน ชุมชน และโครงการ เพื่อร่วมตรวจสอบ และพิจารณาการปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้มีความเหมาะสม ซึ่งกรณีดังกล่าวทางโครงการชี้แจงว่าไม่ขัดข้อง แต่จะขอดูรายละเอียด และความชัดเจนอีกครั้ง