กาฬสินธุ์ - เกษตรกรต้นแบบเมืองน้ำดำแนะปลูกข้าวอินทรีย์ตามรอยพ่อหลวง ลดต้นทุนการผลิตขายได้ทั้งในไทยและส่งออก ขอเพียงเป็นข้าวคุณภาพ ชี้ชาวนาต้องปรับเปลี่ยนอย่าปลูกพืชเชิงเดี่ยว น้อมนำเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสานดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ลดต้นทุนด้วยเกษตรอินทรีย์
ที่สวนจารุวรรณ หมู่ 8 ต.ภูปอ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ นายวินิจ ถิตย์ผาด อดีตเกษตรอำเภอ ณ วันนี้ได้พลิกผันตัวมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว บนพื้นที่ทำกิน 84 ไร่ ทั้งพืชสวน พืชไร่ นาข้าว และป่าธรรมชาติ เป็นเกษตรกรคนหนึ่งที่ปลูกพืชระบบอินทรีย์ปลอดสารเคมี ได้รับมาตรฐานออแกนิกไทยแลนด์ และเป็นพ่อค้าขายข้าวที่แพกถุงจำหน่ายกันเอง
ทั้งข้าวสารเจ้าหอมมะลิ ข้าวกล้อง ข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวดำ ข้าวมะลิดำ ข้าวมะลิแดง และข้าวเหนียวก่ำ
นายวินิจ ถิตย์ผาด อดีตข้าราชการสังกัดกระทรวงเกษตรฯ เล่าว่า โดยส่วนตัวแล้วได้น้อมนำแนวพระราชดำริ ในหลวง ร.๙ มาใช้ในชีวิตประจำวันตั้งนานแล้ว เลือกที่จะอยู่อย่างพอเพียงพึ่งพาตนเอง โดยนาข้าวที่ทำแต่ละปีจะปลูกข้าวแค่ 10 ไร่ จากพื้นที่ 84 ไร่ เพราะที่นี่ต้องแบ่งเป็นพื้นที่ป่า พืชผลอื่นๆ 10 ไร่ ในส่วนของนาข้าวนั้นจะปลูกข้าว 2 ครั้งทั้งนาปรังและนาปี แม้ว่าจะอยู่ที่สูงแห้งแล้งแต่สามารถทำนาข้าวได้ผลผลิตดี
จากการลดต้นทุนโดยการใช้ปุ๋ยคอก น้ำหมักชีวภาพที่ผลิตใช้เอง รวมถึงปุ๋ยพืชสดอย่างปอเทืองที่ช่วยบำรุงดินได้ระยะยาว จากการคำนวณจัดสรรพื้นที่ ถามว่าทำไมปลูกข้าวแค่ 10 ไร่ ไม่ปลูกข้าวทั้งหมด ก็เนื่องจากว่าคนเรา 1 คน กินข้าวไม่เกิน 300 กก.ต่อปี ตอนนี้นาข้าวที่สวนจารุวรรณปลูกข้าวแต่ละชนิดเฉลี่ยที่ 440-550 กก.ต่อไร่ ตามแต่ละประเภทข้าว เหลือก็นำออกจำหน่าย
นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายออร์แกนิกไทยแลนด์ ที่เป็นพื้นที่นาข้าวคุณภาพร่วมจำหน่าย ซึ่งเวลานี้สวนจารุวรรณเป็นทั้งต้นน้ำ คือ ผู้ผลิต ปลายน้ำ ก็คือผู้ขายผู้จำหน่ายgv’
นายวินิจเปิดเผยอีกว่า สวนจารุวรรณนอกเหนือจะผลิตข้าวขายเองแล้ว ยังรับซื้อข้าวเปลือกของเครือข่ายออร์แกนิกไทยแลนด์ในพื้นที่ใกล้เคียงกันด้วย โดยรับซื้อที่ กก.ละ 22-25 บาท มีเครื่องสีขนาดครัวเรือนสีข้าว คัดแยกกาก และแพกเกจบรรจุภัณฑ์ด้วยตนเอง เป็นธุรกิจครอบครัวที่มีการจำหน่ายข้าวอยู่ที่เดือนละ 300-500 กก.ต่อเดือน โดยข้าวที่จำหน่ายเริ่มต้นที่ 60-120 บาท
นอกจากนี้ยังใช้สโลแกนกินข้าวเป็นยา ด้วยการนำข้าวมาบรรจุรวมกันใน 1 กก. ทั้งข้าวสามดี ข้าว 5 พลัง และข้าว 4 พระยา เป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าเกษตรกรยุคนี้ควรต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีการทำเกษตร โดยเฉพาะเรื่องการทำเกษตรแบบผสมผสานตามแนวทฤษฎีใหม่ และยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวง เชื่อว่าการเดินตามรอยพ่อภายใต้หลักการทำเกษตรทฤษฎีใหม่จะเป็นทางรอดของเกษตรกรและชาวนาไทยในเวลานี้ได้ เพราะมีแบบอย่างที่ตนเองได้ทำมาแล้ว ตอนนี้สวนจารุวรรณมีรายได้จากการขายข้าวเป็นประจำทุกวัน
สำหรับสวนจารุวรรณ เป็นคลินิกเกษตรอินทรีย์ เปิดให้คำปรึกษาโรคดิน โรคพืช มีระบบ Smart Farmer โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ผ่านการรับรองจากออร์แกนิกไทยแลนด์ด้วยระบบการประเมินปีต่อปี
นอกจากนี้ยังผ่านการรับรองจากการตรวจประเมินมาตรฐานของ IFOAM จากบริษัท ไบโออะกรีเสิร์ช (ไทยแลนด์) จำกัด ในปี 2557
