เพชรบุรี - ตามไปดู “มัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะซาน สามพระยา” จังหวัดเพชรบุรี ในโครงการพระราชดำริ บุตรสาวโต๊ะอิหม่ามฮัจยูซบ เผย “ในหลวง ร.๙” ทรงให้พื้นที่สร้างมัสยิด และรับไว้ในพระอุปถัมป์ และทรงช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยมุสลิมให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น
นางมัยมูน นาคอนุเคราะห์ อายุ 63 ปี อดีตข้าราชการครู ซึ่งเป็นชาวไทยมุสลิมอาศัยอยู่บ้านหลังเล็กๆ เลขที่ 96 หมู่ 8 ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย เลี้ยงเป็ดไก่ ปลูกพืชผัก ใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เก็บภาพถ่ายอันมีค่าที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพี่น้องชาวไทยมุสลิม
โดยเฉพาะระหว่างผู้เป็นพ่อ คือ นายซบ นาคอนุเคราะห์ หรือ “ฮัจยูซบ” ปัจจุบันได้เสียชีวิตแล้ว ที่ได้ผูกพันเป็นสหายกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัก และเทิดทูนในหลวง และสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก
นางมัยมูน นาคอนุเคราะห์ เล่าถึงความปลาบปลื้มว่า อิหม่ามยูซบ นาคอนุเคราะห์ เดิมเป็นชาวอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ได้ย้ายมาซื้อที่ดินปลูกสับปะรด และอยู่อาศัยในพื้นที่ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จำนวน 15 ไร่ หลังจากที่เดิมประสบปัญหาทำนาแล้วไม่ได้ผล โดยที่ไม่รู้ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอภัยทานสัตว์ ตั้งแต่สมัยราชกาลที่ 6
ต่อมา ในปี 2522 ได้เริ่มสร้างมัสยิดขึ้น โดยพ่อได้แบ่งพื้นที่ปลูกสับปะรดให้สร้างมัสยิด จำนวน 1 ไร่ และทำสุสานอีก 1 ไร่ ด้วยความยากจนของชาวบ้านที่เป็นชาวไทยมุสลิมก็ได้ช่วยกันสร้างมัสยิดขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงการสร้างหลังคา และพื้นเท่านั้น
ต่อมา ปี 2526 ศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ก็เกิดขึ้นในพื้นที่ และระยะแรกได้มาใช้พื้นที่อันเป็นที่ตั้งของมัสยิดดำเนินการ จัดสรรที่ดินให้แก่ชาวไทยมุสลิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวครอบครัวละ 11 ไร่ ที่พื้นที่ไกลน้ำ 5 ไร่ ใกล้น้ำ 5 ไร่ ที่อยู่อาศัย 1 ไร่ รวม 25 ครอบครัวในช่วงเริ่มต้น มีการให้ความรู้สร้างอาชีพใหม่ๆ ให้แก่ชาวบ้าน โดยผู้เป็นพ่อคือ อิหม่ามยูซบ ขณะนั้นเป็นเหมือเป็นหัวหน้าชาวบ้านที่นำชาวบ้านให้การช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ในการพัฒนาพื้นที่ เพราะช่วงแรกๆ ชาวบ้านไม่ยอม เนื่องจากทุกคนที่มีที่ดินทั้งหมดต้องนำมารวมกัน และแบ่งจัดสรรกันใหม่
แต่ด้วยที่พ่อเป็นเหมือนผู้นำ เจ้าหน้าที่เลยขอให้พ่อให้พื้นที่ของตนเองก่อนเพื่อให้ชาวบ้านได้เห็น ขณะนั้นพื้นที่มีผลสับปะรดกำลังแก่ใกล้เก็บขาย แต่พ่อก็ยอมให้เจ้าหน้าที่ไถปรับที่ดินใหม่เพื่อทำเป็นแปลงตัวอย่าง
ต่อมา ชาวบ้านเห็นว่าทำได้จึงยอมรวมพื้นที่แล้วมาจัดสรรใหม่ในการทำมาหากิน ครอบครัวละ 11 ไร่ จนครบ 25 ครอบครัว มีการสร้างอาชีพใหม่เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งก็ส่งผลให้การสร้างมัสยิดแล้วเสร็จไปด้วย มีผู้บริจาคร่วมสร้างจำนวนมาก
แต่พอสร้างเสร็จจะทำการจดทะเบียนขึ้นเป็นมัสยิดไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เขตอภัยทานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งพ่อได้ไปติดต่อทุกหน่วยงานราชการสุดท้ายก็ไม่สามารถทำได้ และได้คำบอกมาจากเจ้าหน้าที่ที่ดินว่า ถ้าจะให้ได้จริงๆ ก็ให้ไปขอจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พ่อจึงติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ที่ใกล้ชิดกับสำนักพระราชวัง เพื่อขอเข้าเฝ้าพระองค์ท่านเพื่อขอที่ดินอันเป็นสถานที่ตั้งมัสยิด เพื่อให้มัสยิดจดทะเบียนได้ จนได้มีโอกาสเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขณะนั้นได้เสด็จไปยังพื้นที่ตำบลเขากระปุก ในปี 2526
นางมัยมูน ได้นำภาพถ่ายที่เป็นครั้งแรกที่พ่อได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาให้ดูพร้อมเล่าด้วยความดีใจต่อว่า ตนได้จัดดอกกุหลาบเพื่อไปถวายพระองค์ท่านด้วย ซึ่งไปตั้งแต่เช้า แต่กว่าจะได้เข้าเฝ้าก็บ่าย ทำให้ดอกกุหลาบเหี่ยว แต่พ่อก็ได้นำดอกกุหลาบถวายพระองค์ท่านพร้อมกราบเชิญพระองค์ท่านเสด็จมายังมัสยิด ในวันนั้น แต่พระองค์ท่านบอกว่า “ฉันยังไปไม่ได้ในวันนี้ เดี๋ยวครั้งหน้ามาใหม่แล้วฉันจะไปมัสยิด”
จนกระทั่งปี 2533 พระองค์ท่านได้เสด็จมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่ พ่อได้เดินทางไปกราบทูลพระองค์ท่านอีกครั้งให้เสด็จไปยังมัสยิด ซึ่งครั้งที่ 2 พ่อดีใจมาก เพราะในหลวงทรงบอกว่า “ให้ไปรอที่มัสยิดเลย เดี๋ยวพระองค์จะไป พ่อได้รีบกลับมาที่มัสยิด จัดเตรียมรับเสด็จพระองค์ท่านอย่างรวดเร็วในเวลาอันจำกัด”
หลังจากนั้นราว 1 ชั่วโมง พระองค์ท่านก็เสด็จมาโดยทรงขับรถยนต์มาเอง เมื่อมาถึงพ่อได้ให้พระองค์ท่านประทับบนมิมบัส เป็นธรรมมาสน์ที่ใช้ในศาสนาอิสลาม มีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับนั่งด้านล่าง ในหลวงทรงถามพ่อว่า “ให้ฉันมาที่นี่ทำไม” พ่อได้กราบบังคมทูลพระองค์ท่านว่า “ได้สร้างมัสยิดแห่งนี้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเขตอภัยทานตั้งแต่สมัยราชกาลที่ 6 ทำให้ไม่สามารถจดทะเบียนเป็นมัสยิดได้ ซึ่งมัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาของชาวบ้านมุสลิมในพื้นที่แห่งนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพื้นที่ตรงนี้เพื่อให้สามารถจดทะเบียนเป็นมัสยิดได้”
พระองค์ทรงถามว่า “ที่แปลงนี้อยู่ในการครอบครองของใคร” พ่อกราบทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าครอบครองอยู่” จากนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นฉันให้อีก 5 ไร่ รวมเป็น 7 ไร่” ซึ่งได้สร้างความปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างมากต่อพี่น้องชาวไทยมุสลิมที่เข้าเฝ้าเวลานั้น
พ่อจึงกราบทูลในหลวงว่า ข้าพเจ้าขอมอบมัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะซาน แห่งนี้อยู่ในพระราชูปถัมป์ของพระองค์ท่าน ซึ่งในหลวงทรงบอกว่า “ฉันขอรับด้วยความเต็มใจ” ทำให้ชาวบ้านที่เป็นชาวไทยมุสลิมต่างดีใจปลาบปลื้มใจอย่างหาที่สุดมิได้ พระองค์ได้มอบเงินไว้ให้ 20,000 บาท พร้อมยาตำราหลวงอีก 3 ชุด โดยบอกให้พ่อนำเงินดังกล่าวจัดทำเป็นมูลนิธิฯ ขึ้นมา แต่ทว่า กฎของศาสนามุสลิมทำไม่ได้ พ่อจึงนำเงินที่ในหลวงให้ไว้มาจัดสร้างกำแพงมัสยิดแทน
จากนั้นปี 2534 มัสยิดสามารถจดทะเบียนได้เรียบร้อย เป็นมัสยิดแห่งที่ 13 ของจังหวัดเพชรบุรี ที่พิเศษคือ ป้ายมัสยิดตั้งชื่อมัสยิด จะมีตัวอักษรในโครงการพระราชดำริอยู่ด้วย คือ มัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะซานในโครงการพระราชดำริ และพ่อก็ได้รับเลือกเป็นโต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ต่อมา ในหลวง ยังให้สร้างโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามขึ้นในพื้นที่มัสยิด และสร้างเสร็จในปี 2535 และยังใช้สอนมาจนถึงปัจจุบัน
ปี 2539 มัสยิดเกิดสภาพทรุดโทรม พ่อได้ขออนุญาตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำการสร้างใหม่ในสถานที่เดิม มีการปรับถมบ่อดินปรับพื้นที่ใหม่ ทุกคนต่างช่วยกันทั้งชาวบ้าน ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากมีเวลาเพียง 6 วัน ก่อนจะถึงวันวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างใหม่ และในวันวางศิลาฤกษ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสด็จมาเป็นประธานประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ในระหว่างก่อสร้างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จมาที่มัสยิดในปี 2540 และปี 2543 มีการมอบพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นเงินเพื่อก่อสร้างมัสยิดและใช้จ่ายในโรงเรียนสอนศาสนา
จนกระทั่งสร้างมัสยิดหลังใหม่เสร็จ พ่อได้ทำหนังสือถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้เสด็จมาเป็นประธานเปิดมัสยิสหลังใหม่เฉลิมพระเกียรติที่พระองค์ทรงครองราชย์ครบ 50 พรรษา ซึ่งพระองค์ท่านได้ให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาเป็นประธานเปิดแทนพระองค์
นางมัยมูน เล่าต่อว่า พ่อจะรักพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาก จะเดินทางไปเข้าเฝ้าพระองค์ท่านตลอด รวมทั้งชาวบ้านที่เป็นชาวไทยมุสลิม หากพ่อไม่ได้ไปเข้าเฝ้าทูลถามพูดคุยกับพระองค์ท่าน พ่อจะเขียน โดยพ่อบอกว่า พระองค์ท่านช่วยประชาชนทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนาจริงๆ
นางมัยมูน เล่าอีกว่า มัสยิดแห่งนี้ยังเป็นมัสยิดที่อยู่ในโครงการสมานฉันท์ให้แก่พี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ โดยให้หมู่บ้านชาวไทยมุสลิม และมัสยิดแห่งนี้เป็นต้นแบบในโครงการสมานฉันท์ เพราะในปัจจุบันนอกจากในหมู่บ้านจะมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นหลักแล้ว ยังมีพี่น้องชาวไทยพุทธ เข้ามาอาศัยรวมอยู่ด้วย ประมาณ 10 ครอบครัว ซึ่งก็อาศัยอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี มีการนำผู้นำศาสนาอิสลาม ผู้นำครอบครัว และเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ มาเข้าร่วมกิจกรรมตลอด
ถ้าเป็นชาวไทยพุทธ จะพักที่วัดห้วยทรายใต้ ถ้าเป็นไทยมุสลิมก็จะพักที่โรงเรียนสอนศาสนาและมัสยิด ด้วยที่มัสยิดพื้นที่ไม่พอในการจัดกิจกรรม จึงมีการสร้างศาลาประกอบกิจกรรมขึ้นมาอีก 1หลังในพื้นที่มัสยิด ชื่อว่า ศาลาสมานฉันท์ โดยพ่อได้ร่วมออกค่าก่อสร้างด้วย จำนวน 200,000 บาท สร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี พระชนมายุ 80 พรรษา ซึ่งการสร้างใกล้เสร็จสมบูรณ์
แต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้จากไปเสียก่อน ซึ่งพ่อได้สั่งไว้ล่วงหน้าว่า ถ้ายังสร้างศาลาไม่เสร็จแล้วในหลวงไม่อยู่แล้ว เหมือนกับพ่อมองไว้ล่วงหน้าเนื่องจากพ่อจะเข้าเฝ้าพูดคุยกับพระองค์ท่านทุกปี ขณะที่พระองค์ท่านไปพักรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช พ่อยังเดินทางไปเยี่ยมแม้ร่างกายพ่อจะแก่มากแล้วก็ตาม ซึ่งพ่อจะรักในหลวงมาก แต่เดิมก็รักอยู่แล้วเนื่องจากพ่อในอดีตเคยเป็นทหารผ่านศึกเอเชียบูรพา และก็มารักมากเรื่องที่พระองค์ท่านให้พื้นที่ และเป็นพระราชูปถัมป์มัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะซาน ในโครงการพระราชดำริ แห่งนี้ ให้นำสัญลักษณ์ของพระองค์ท่าน คือ เครื่องหมาย ภปร. ติดไว้หน้าจั่วของศาลาทั้ง 4 ด้านแทน
พ่อได้แต่งเพลงแทนชาวไทยมุสลิมห้วยทรายใต้ให้ ในหลวง และพ่อเคยร้องให้ในหลวงฟังและพระองค์ท่านได้ขอเนื้อเพลงไปด้วย ถ้าปีไหนพ่อเดินทางไปเข้าเฝ้าในหลวงไม่ได้ก็จะเขียนจดหมายส่งผ่านสำนักพระราชวังไปหาพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านก็ทรงตอบจดหมายผ่านสำนักงานพระราชวังมาทุกฉบับ ซึ่งตนได้เก็บรวบรวมใส่แฟ้มเก็บไว้ตลอด รวมทั้งภาพถ่ายต่างๆ ระหว่างพี่น้องชาวมุสลิม พ่อ และพระองค์ท่าน
หลังจากทราบข่าวว่าพระองค์ท่านสวรรคต รู้สึกช็อก ไม่สามารถพูด และอธิบายได้ มันอัดอั้นตันใจไปหมด เพราะพระองค์ท่านทรงรักประชาชนทุกคน ทุกศาสนา เปรียบเสมือน พ่อห่วงลูก อย่างเช่น ที่ห้วยทรายแห่งนี้ขาดแคลนน้ำ พระองค์ท่านก็พยายามนำน้ำจากห้วยตาแปด มายังห้วยทราย เพื่อให้ชาวบ้านได้มีน้ำใช้ นำอาชีพใหม่ๆ มาให้ชาวบ้านได้ทำมาหากินมาจนถึงปัจจุบัน เช่น การเลี้ยงวัวนม ทรงห่วงใยตลอด ขอให้พระอัลเลาะห์ทรงเมตตา นำพาพระองค์ท่านสู่สรวงสวรรค์ ประชาชนจะขอทำดีทำตามที่พระองค์ท่านได้สั่งสอนตลอดไป
สำหรับบทเพลงที่โต๊ะอิหม่ามฮัจยูซบ หรือนายซบ นาคอนุเคราะห์ เขียน และร้องให้ในหลวงฟังมีดังนี้
โอ้มุสลิมห้วยทรายใต้ จงจำไว้ทุกๆ คน
ถึงแม้พวกเราจะยากจน ทุกๆ คนก็ขยันทำงาน
พระเจ้าอยู่หัวของเรา ล้นเกล้าทรงพระราชทาน
ให้ที่ดินและให้บ้าน เหมือนสวรรค์มาโปรดเมตตา
ถึงตายแล้วเกิดใหม่ ก็หาไม่ได้หรอกหนา
โอพี่น้องของข้า ทั่วหน้าจงจำใส่ใจ
เพื่อความอยู่รอดของพวกเรา ใครเขาจะเฝ้าประคับประคอง
จงทำที่ดินให้เป็นเงินทอง มาเถิดพี่น้องมาช่วยกันพัฒนา
พระเจ้าอยู่หัวของเรา โปรดเกล้าทรงพระราชทาน
ให้ที่ทำกินและให้บ้าน เหมือนสวรรค์มาโปรดเมตตา
ถึงตายแล้วเกิดใหม่ ก็หาไม่ได้ดอกหนา
โอ้พี่น้องห้วยทรายจ๋า ทั่วหน้าจงจำใส่ใจ