ตาก - เร่งปฏิบัติการทำฝนหลวงเหนือเขื่อนภูมิพล คาดหวัง 3 เดือนต่อจากนี้จะเติมน้ำเข้า 4 เขื่อนหลักให้ได้ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านลูกบาศก์เมตร ระบุสถานการณ์น้ำปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว แต่ยังมีสำรองไม่พอทำการเกษตร
วันนี้ (1 ก.ย.) นายเลิศศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เดินทางมาตรวจเยี่ยม หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดตาก ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ (จ.เชียงใหม่) พร้อมกับกล่าวว่า แผนปฏิบัติการทำฝนหลวงในภาพรวมของประเทศที่ได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนถึง 31 สิงหาคม 2559 ได้ขึ้นบินเพื่อทำฝนหลวง 176 วัน จำนวน 3,500 กว่าเที่ยวบิน รวมชั่วโมงบินกว่า 4,800 ชั่วโมงสามารถช่วยเหลือภัยแล้ง ได้ 200 ล้านไร่
สำหรับพื้นที่ภาคกลางที่ต้องอาศัย 4 เขื่อนหลักในภาคเหนือ ได้แก่ เขื่อน สิริกิติ์, เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน, เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนภูมิพล ซึ่ง 3 เขื่อนแรกระดับน้ำพ้นภาวะวิกฤต ยังมีเขื่อนภูมิพล จ.ตาก ที่ระดับน้ำใช้งานยังคงมีปริมาณน้อย
ดังนั้น ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงเชียงใหม่ที่มีหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง ประจำอยู่ที่ท่าอากาศยานตาก, ท่าอากาศยานพิษณุโลก และท่าอากาศยานเชียงใหม่ จะใช้เครื่องบินของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร แบบ CASA จำนวน 5 ลำ เครื่องบิน Super King Air จำนวน 1 ลำ พร้อมกับเครื่องบินของกองทัพอากาศ ที่สนับสนุนภารกิจ โดยใช้เครื่องบิน แบบ AU 23A Peacemaker จำนวน 2 ลำ รวมทั้งหมด 8 ลำ ที่จะขึ้นบินเพื่อโปรยสารฝนหลวงโจมตีกลุ่มเมฆเป้าหมายเพื่อทำฝนหลวงในพื้นที่ป่าเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลต่อเนื่องทุกวัน ซึ่งแผนระยะสุดท้ายที่จะมีความหวังในการเติมน้ำให้เขื่อนภูมิพล ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน - 1 พฤศจิกายน 2559 คาดว่าจะมีอิทธิพลร่องมรสุมจากประเทศจีนที่จะไหลลงมาในเร็วๆ นี้ซึ่งจะได้ชิงดักทำฝนหลวงเพื่อให้ได้ผลมากที่สุด โดยหวังว่าจะสามารถทำฝนหลวงเติมน้ำให้เขื่อนหลักทั้ง 4 เพิ่มได้อีก 800 ล้านลูกบาศก์เมตร
โดยสถานการณ์น้ำของเขื่อนภูมิพลในขณะนี้มีปริมาณน้ำกักเก็บ 4,726 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นปริมาณ 35.11 เปอร์เซ็นต์ของความจุอ่าง มากกว่าปีที่แล้วในช่วงเดียวกัน 360 ล้าน ลบ.ม. น้ำใช้งานสามารถระบายได้ 926 ล้าน ลบ.ม. (9.59 เปอร์เซ็นต์) และจากปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่เหนือเขื่อนภูมิพลทำให้มีน้ำใหม่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำวานนี้จำนวน 27 ล้าน ลบ.ม. (ระบายลงสู่ท้ายน้ำจำนวน 3 ล้าน ลบ.ม.)
ปริมาณน้ำใช้การได้ดังกล่าว ณ ปัจจุบันถือว่าดีกว่าปีที่แล้ว และเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค แต่ยังไม่สามารถสำรองน้ำเพื่อการเกษตรในปีต่อไปได้
