ฉะเชิงเทรา - ชาวแปดริ้วเหยื่อถูกพายุหมุนพัดถล่มหลังคาปลิวหายไปนานนับเดือน ยังระทมหนัก หลังหน่วยงานรัฐยังไร้การเยียวยาเข้าช่วยเหลือ ขณะบางรายได้แต่นั่งทอดถอน และท้อใจ ระบุเพราะเกิดมาจนจึงต้องพึ่งแต่ตนเองโดยไม่มีใครมาดูแล จึงไม่คิดคาดหวังอะไรจากหน่วยงานภาครัฐ และผู้นำชุมชนอีก
วันนี้ (21 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ร้านค้าส้มตำของ นางหนูเจียว ดอกคำ อายุ 47 ปี ชาวบ้าน ม.6 ต.บางคา อ.ราชสาส์น จ.ฉะเชิงเทรา หนึ่งในผู้ประสบภัยจากลมพายุพัดบ้านพังทั้งหลัง ได้มีชาวบ้านจำนวนหลายครอบครัวต่างได้ออกมานั่งทอดถอนใจ พร้อมกับพูดคุยปรึกษาระบายทุกข์สู่กันฟัง ถึงกรณีเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา (26 ก.ค.) ได้เกิดเหตุลมพายุพัดหลังคาบ้านชาวบ้านปลิวหายไปจำนวนหลายหลัง และยังมีบางรายที่ถูกลมพายุพัดจนบ้านพังถล่มลงมาทั้งหลังนั้น
จนถึงขณะนี้เวลาผ่านมานานเกือบ 1 เดือนเต็มแล้ว ชาวบ้านทุกหลังคาเรือนที่ประสบวาตภัยในครั้งนั้นต่างยังไม่เคยมีใครได้รับการเยียวยา หรือช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ หรือแม้แต่ทางผู้นำชุมชนในพื้นที่มาก่อน
โดย นางทองศุก วรพงษ์ อายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39 ม.6 ต.บางคา อ.ราชสาส์น จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ที่ผ่านมานั้นเสียความรู้สึกต่อผู้นำชุมชน และการทำงานของหน่วยงานภาครัฐเป็นอย่างมาก ที่ไม่เคยเข้ามาดูแลภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านมาก่อนเลย นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลมพายุหมุนพัดถล่มเข้ามาในหมู่บ้านจนมีบ้านเรือนของชาวบ้านหลังคาปลิวลอยพังไปหลายหลังจนถึงในวันนี้
ก็คงเป็นเพราะว่าเรานั้นเกิดมาจน จึงไม่มีใครมาสนใจในความเป็นอยู่ ทุกข์สุขของชาวบ้าน ที่ผ่านมา ชาวบ้านก็ต้องช่วยเหลือตนเองกันไปก่อน เพราะว่าไม่มีที่จะอยู่ และฝนก็ตกเปียกอยู่ทุกวันในช่วงนั้น โดยในวันเกิดเหตุนั้นตนก็ไม่ได้อยู่บ้าน มีแต่บุตรชายที่พักอาศัยอยู่ภายในกระท่อมอีกหลังใกล้กันได้โทรศัพท์ไปตามบอกว่า บ้านที่ตนเพิ่งปลูกมาได้เป็นเวลาประมาณ 6 ปีแล้วนั้นได้ถูกลมพายุพัดหอบเอาหลังคาลอยหายไปแล้ว
โดยบ้านที่พังเสียหายนั้นเป็นบ้านคอนกรีต ปลูกสร้างด้วยอิฐบล็อกฉาบปูน และมุงหลังคาด้วยสังกะสีแบบชั้นเดียว ได้ถูกลมพายุพัดหอบเอาหลังคา ทั้งชุดเครื่องบน และไม้แปรลานทั้งหมดปลิวลอยไปด้วย โดยหลังคาได้ถูกลมหมุนพัดออกไปตกไกลจากตัวบ้านถึงกว่า 40 เมตร จนแหลกไม่มีชิ้นดี
หลังจากหลังคาถูกลมพายุพัดหอบหายไปแล้วนั้น ยังทำให้ข้าวของภายในบ้านถูกน้ำฝนได้รับความเสียหายไปทั้งหมดด้วย เช่น ตู้ไม้ จำนวน 2 หลัง และเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า และที่นอน จนไม่มีอะไรเหลือเป็นชิ้นดีเลยสักชิ้น แต่ตอนนี้ได้ไปกู้ยืมเงินจากคนอื่นในหมู่บ้านมาซ่อมแซมบ้านกันเองแล้ว เพราะว่าไม่มีที่จะอยู่อาศัย โดยไม่รอความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้นแล้ว และก็ไม่คาดหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอะไรอีก
นางทองศุก กล่าวต่อว่า หลังจากเกิดเหตุลมพายุพัดบ้านพัง หากมีผู้นำชุมชน หรือมีใครที่มีหน้าที่รับผิดชอบเข้ามาดูแลสอบถามถึงความทุกข์ ความสุขกับเราบ้าง เราก็จะชื่นใจแล้วว่ายังมีคนเป็นห่วงใยในความเป็นอยู่ของชาวบ้านบ้าง แต่ที่ผ่านมา ก็ยังไม่เคยมี จึงไม่คิดที่จะคาดหวังอะไรจากหน่วยงานภาครัฐ หรือผู้นำชุมชนมากนัก
ด้าน น.ส.จำเนียน แสงจันทร์ อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 22 ม.6 ต.บางคา ชาวบ้านอีกราย กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุลมพายุพัดบ้านพัง ที่บ้านตนนั้นได้มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเข้ามาถ่ายภาพความเสียหายไว้ เพราะบ้านอยู่ใกล้กับบ้านพักของประธานสภา อบต.บางคา แต่ถึงตอนนี้เวลาผ่านมานานถึงเกือบ 1 เดือนเต็มแล้วก็ยังไม่มีคำตอบว่าจะช่วยเหลือชาวบ้านอย่างไรกลับมาอีกเลย
ในช่วงแรกๆ ก็เคยสอบถามไปบ้าง แต่เขาก็บอกให้รอคำตอบในวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชาวบ้านจึงไม่อยากที่จะสอบถามอะไรไปมากนัก เพราะเกรงว่าเขาจะรำคาญ และไม่มีความหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลืออะไรจากหน่วยงานภาครัฐอีกแล้ว โดยในกลุ่มญาติพี่น้องของตนเองนั้นมีบ้านถูกลมพายุพัดพังเสียหายรวม 3 หลัง ได้ทำการซ่อมแซมไปกันเองแล้ว จำนวน 2 หลัง ส่วนอีกหนึ่งหลังนั้นได้พังถล่มลงมาทั้งหลัง ก็คงต้องรอการรื้อทิ้งแต่เพียงอย่างเดียว