ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - คณบดีคณะการสื่อสารมวลชน ม.เชียงใหม่ ที่ปลอมตัวเป็นคนเก็บขยะร่วมกิจกรรมรับน้องใหม่ ยืนยันไม่ได้คิดหวังให้กลายเป็นกระแสโด่งดังทั่วโลกออนไลน์ ระบุเป็นกิจกรรมที่สโมสรนักศึกษาของคณะคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาแล้วต้องการให้คณบดีมีบทบาทร่วมด้วยเท่านั้น เพื่อหวังปลูกฝังแนวความคิดจิตอาสา เคารพความเท่าเทียมของมนุษย์ และรับผิดชอบต่อสังคม
กลายเป็นกระแสข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศจากการที่รองศาสตราจารย์ธีรภัทร วรรณฤมล คณบดีคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่งกายซอมซ่อปลอมตัวเป็นพนักงานทำความสะอาด ถือไม้กวาดและลากถังขยะเก็บความขยะและทำความสะอาดบริเวณโดยรอบของคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่กลุ่มนักศึกษามากมายของคณะกำลังทำกิจกรรมรับน้องนักศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าคุณลุงพนักงานทำความสะอาดคนนั้นแท้ที่จริงเป็นใคร จนกระทั่งในช่วงของการจัดเวทีปฐมนิเทศนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ในวันที่ 3 ส.ค. 59 ที่คุณลุงพนักงานทำความสะอาดคนเดิมได้มาปรากฏตัวอีกครั้งบนเวทีเพื่อพูดคุยกับนักศึกษา ก่อนที่จะมีการเปิดเผยตัวตนว่าคุณลุงคนนั้นแท้ที่จริงแล้วก็คือคณบดีปลอมตัวมา สร้างความฮือฮาและประทับใจให้แก่น้องนักศึกษาชั้นปีที่ 1 เป็นอย่างมาก รวมทั้งเกิดกระแสชื่นชมไปทั่วสื่อสังคมออนไลน์และสังคมทั่วไป
ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์ธีรภัทร วรรณฤมล คณบดีคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมรับน้องเชิงสร้างสรรค์ของคณะการสื่อสารมวลชน ภายใต้แนวคิด “สื่อสาร สร้างสรรค์ แบ่งปัน” ที่ต้องการจะถ่ายทอดไปยังน้องนักศึกษาใหม่ ซึ่งทางสโมสรนักศึกษาคณะการสื่อสารมวลชน ได้คิดกิจกรรมขึ้นมาและให้ตัวเองซึ่งคณบดีเข้าไปมีส่วนร่วมและมีบทบาทด้วย โดยการปลอมตัวเป็นนักการภารโรงและสร้างสถานการณ์เพื่อหวังจะเสริมสร้างจิตสำนึกในเรื่องของจิตอาสา พร้อมกับสื่อสารในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมว่าทุกคนสามารถช่วยเหลือส่วนรวมได้โดยไม่ต้องรอผู้มีหน้าที่ และการเคารพความเท่าเทียมกันของมนุษย์ให้แก่นักศึกษาน้องใหม่
โดยคณบดีคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยืนยันว่ากิจกรรมดังกล่าวไม่ได้คิดหวังหรือมีการวางแผนที่จะทำให้เป็นข่าวโด่งดังแต่อย่างใด ทั้งในสื่อสังคมออนไลน์และสังคมโดยทั่วไป
ทั้งนี้ เบื้องต้นทราบว่าเรื่องนี้กลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์ เนื่องมาจากมีผู้ปกครองที่มีลูกเป็นนักศึกษาน้องใหม่ของคณะการสื่อสารมวลชนทราบเรื่องนี้จากไลน์กลุ่มของผู้ปกครองด้วยกันที่มีการโพสต์รูปภาพและคลิปวิดีโอ พร้อมเรื่องราวไว้แล้วรู้สึกประทับใจจึงนำไปเผยแพร่ต่อจนกระทั่งเป็นกระแสดังกล่าว