บุรีรัมย์ - คืบหน้ากรณีสองแม่ลูกชาวบุรีรัมย์เข้าแจ้งตำรวจเอาผิดญาติและชาวบ้านรุมกล่าวหาใส่ร้ายว่าแม่เป็นผีปอบ จนไม่สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติมานาน 3 ปี ล่าสุดลูกสาวพาแม่ที่ถูกกล่าวหาไปอาศัยอยู่บ้านญาติต่างอำเภอชั่วคราว หวั่นไม่ปลอดภัย ขณะที่ตำรวจเตรียมลงพื้นที่สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อมูลหลักฐาน
วันนี้ (20 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีนางผัน แสงสว่าง อายุ 56 ปี พร้อม น.ส.ณัฎฐณิดา แสงสว่าง สองแม่ลูกชาวบ้านสวัสดี ต.กลันทา อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมือง ให้เอาผิดต่อญาติและชาวบ้านในหมู่บ้านที่รุมกล่าวหาใส่ร้ายว่านางผันผู้เป็นแม่เป็นผีปอบจนทำให้ครอบครัวเกิดความอับอายเสื่อมเสียถูกชาวบ้านเกลียดชัง ทั้งได้บีบบังคับพาแม่ไปหาพระหมอผีเพื่อทำพิธีขับไล่ภูตผีหลายครั้ง
จากคำบอกเล่าของผู้ถูกกล่าวหาระบุว่า การทำพิธีแต่ละครั้งจะมีการใช้มือตบหน้า หรือใช้อาวุธทำร้ายตามพิธีกรรมในการไล่ภูตผีออกจากร่างจนทำให้ได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของตัวเองได้อย่างปกติสุขเป็นเวลานานกว่า 3 ปีนั้น
ล่าสุด ลูกสาวได้พาผู้เป็นแม่ที่ถูกกล่าวหาไปอาศัยอยู่บ้านญาติที่ต่างอำเภอชั่วคราวเพราะเกรงจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากลูกสาวต้องเดินทางกลับไปทำงานยังต่างจังหวัด
จากการลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่บ้านของนางผันที่ถูกกล่าวหาพบว่าถูกปิดเงียบไม่มีใครอาศัยอยู่ มีเพียงชาวบ้านในหมู่บ้านที่พากันจับกลุ่มพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่จากการสอบถามชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวต่อกระแสความเชื่อดังกล่าว พร้อมระบุด้วยว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นผีปอบเลย ส่วนชาวบ้านที่มีความเชื่อนั้นเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ไม่สามารถไปบังคับได้
นายสนอง ไกรแก้ว อายุ 66 ปี และนางบุญโฮม พินิจ อายุ 73 ปี ชาวบ้านบ้านสวัสดี บอกว่า ได้อาศัยอยู่หมู่บ้านแห่งนี้มาตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเห็นผีปอบว่ามีรูปร่างหน้าตาหรือตัวตนเป็นอย่างไร จึงไม่เชื่อว่าจะมีผีปอบในหมู่บ้าน ส่วนกรณีที่มีคนป่วยหรือเสียชีวิตนั้นเชื่อว่าเป็นการเจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคภัยตามธรรมชาติ
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านบางคนเชื่อว่านางผันเป็นผีปอบนั้น อาจจะด้วยบุคลิกที่เป็นคนเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร ชอบเก็บตัว ประกอบกับนางผันมีอาการป่วยทางจิต บางครั้งอาจจะพูดจาคนเดียว แต่ไม่มีอาการผิดปกติอย่างหรือทำร้ายใคร
ทางด้านพนักงานสอบสวน หลังได้รับแจ้งเตรียมลงพื้นที่ไปสอบปากคำผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งผู้นำชุมชน และชาวบ้าน เพื่อหาข้อมูลหลักฐานประกอบสำนวนคดี หากมีข้อมูลหลักฐานว่ามีการกล่าวหาหมิ่นประมาท และทำร้ายร่างกายจริงจะดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมกันนี้ยังได้ประสานกับตำรวจตำบลได้เข้าไปตรวจตราในหมู่บ้าน และสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งบานปลาย เพราะการกล่าวหาในลักษณะดังกล่าวไม่สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้