MGR Online - ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “เทพไท เสนพงศ์” อดีต ส.ส.ปชป. ไม่หมิ่น “ทักษิณ” วิจารณ์บริหารประเทศปี 2549 แบบซีอีโอ เหมือนผีปอบ ชี้เป็นบุคคลสาธารณะสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้
ที่ห้องพิจารณา 812 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (20 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.1923/2549 ที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายนพดล มีวรรณะ ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้องพรรคประชาธิปัตย์ และนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และโฆษกส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332
โจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 17-19 พ.ค. 2549 นายเทพไท จำเลยที่ 2 ได้แถลงข่าว ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยุครัฐบาลทักษิณลาออก โดยกล่าวทำนองว่าบริหารประเทศแบบซีอีโอที่มีรัฐมนตรีเป็นเพียงผู้ช่วยทำงานไม่ได้ และยังได้กล่าวเปรียบเทียบนายทักษิณเหมือนผีปอบที่ออกจากร่างแล้วกลับเข้าร่างไม่ได้ซึ่งพยายามทุกวิถีทางเพื่อกลับเข้าสู่ร่างเดิมกรณี
โดยวันนี้ นายเทพไท จำเลยเดินทางมาพร้อมทนายความ และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า โจทก์มีนายนพดล มีวรรณะ ผู้รับมอบอำนาจ เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ เป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงปี 2544 ปี 2548 และรักษาการนายกรัฐมนตรีในปี 2549 ส่วนนายเทพไท จำเลยที่ 2 เป็น ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้แถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์ในวันเกิดเหตุ และนายเทพไท จำเลยที่ 2 เบิกความยอมรับว่าได้แถลงข่าวกล่าวถึงข้อความดังกล่าวจริง แต่ศาลเห็นว่าตามทางนำสืบยังได้ข้อเท็จจริงอีกว่า โจทก์ได้ประกาศยุบสภาต้นปี 2549 และมีการกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 แต่ต่อมาตุลาการรัฐธรรมนูญ ก็ได้วินิจฉัยว่า การเลือกตั้งดังกล่าวไม่สุจริต ดังนั้นการกระทำเป็นการนำข้อมูลข่าวสารมาเผยแพร่อันเป็นวิสัยที่กระทำได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดหมิ่นประมาท ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยที่ 1-2 ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรักษาการนายกรัฐมนตรีจึงถือเป็นบุคคลสาธารณะที่สามารถจะถูกตรวจสอบการทำงานได้ การกล่าวของนายเทพไท จำเลยที่ 2 เป็นการพูดจาตอบโต้กันในทางการเมือง ถือเป็นการวิพากษ์จารณ์ แสดงความคิดเห็นและติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยที่สามารถกระทำได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา โดยจำเลยที่ 2 แถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เป็นความผิด ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน
ภายหลัง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เดินทางมาศาลอาญา กล่าวว่า คดี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาล ให้จำคุกฐานหมิ่นประมาท คนละ 1 ปี แต่รอลงอาญา 2 ปี โดยศาลเห็นว่าแม้จะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบการทำงานในฐานะนักการเมือง แต่ก็เกินเลยไปจนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เราก็ยอมรับผลคำพิพากษา ส่วนจะฎีกาคำพิพากษาหรือไม่จะปรึกษาฝ่ายกฎหมายอีกครั้ง ส่วนคดีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฟ้องหมิ่นประมาทพรรคประชาธิปัตย์และนายเทพไท เสนพงศ์นั้น ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนให้ยกฟ้อง