เชียงราย - พ่อเฒ่าชาวเชียงรายเกือบเอาชีวิตไม่รอด รับจ้างเผาไร่-ปรับพื้นที่ พอลงมือเผาไฟลุกพรึบเอาไม่อยู่จนเครื่องตัดหญ้าระเบิด ตัวเองหนีตายกระเจิง ขณะไฟลามไหม้ป่าอุทยานฯ-ป่าสงวนฯ เสียหายกว่า 50 ไร่ แถมไหม้สวนกฤษณาคนอื่นวอดอีก
วันนี้ (11 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดไฟไหม้ผืนป่าพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม ติดต่อกับป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยปุย ต.ท่าสาย อ.เมืองเชียงราย ต้นเพลิงมาจากพื้นที่ที่ชาวบ้านเข้าไปจับจองทำไร่-ทำสวนบริเวณเชิงเขา ม.10 ต.ท่าสาย ก่อนจะลุกลามขึ้นสู่ภูเขาในเขตอุทยานฯและป่าสงวนฯ โดยเปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็วผ่านไร่และสวนของชาวบ้านหลายราย ก่อนลามเข้าเขตป่าที่มีต้นไม้และหญ้าแห้งที่เป็นเชื้อไฟอย่างดี ส่งผลให้เกิดการลุกไหม้อย่างหนัก ก่อนขยายวงกว้างออกไปจนเกิดกลุ่มควันคละคลุ้งอย่างเห็นได้ชัดจากตัวเมืองเชียงราย ท่ามกลางความตื่นตกใจของผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง
หลังเกิดเหตุ นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15, นายชวนากร พรมรังฤทธิ์ ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแม่ปืม, นายมานิตย์ ดูคำ ผู้ใหญ่บ้าน ม.10 ต.ท่าสาย ได้ระดมกำลังเจ้าที่อุทยานฯ รถดับเพลิงเทศบาล ต.ท่าสาย และชาวบ้าน เข้าดับไฟอย่างเร่งด่วน แต่การดับไฟป่าครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้ง และภูมิประเทศที่สูงชัน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำแนวกันไฟรอบข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามไปยังป่าข้างเคียง และบ้านเรือนของประชาชน รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างต่างๆ บริเวณเชิงเขาที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ผืนป่าก็ถูกไฟไหม้ประมาณ 50 ไร่ นอกจากนี้ไฟยังลามเข้าไปเผาพื้นที่ ส.ป.ก.ของเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งปลูกต้นไม้กฤษณาเอาไว้เป็นบริเวณกว้างด้วย
เมื่อเจ้าหน้าที่อุทยานฯ พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้าน ม.10 ตรวจสอบหาต้นเพลิง พบว่า ผู้ก่อเหตุคือนายประสิทธิ์ น้อยแวงพิมพ์ อายุ 67 ปี บ้านเลขที่ 214 ม.10 ต.ท่าสาย ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุในสภาพตื่นตกใจ พร้อมเครื่องตัดหญ้าเครื่องยนต์เบนซิน 1 เครื่องที่ถูกไฟไหม้จนเสียหายด้วย
นายประสิทธิ์ให้การว่าจะเข้าไปปรับพื้นที่ในไร่ของนายยงยุทธ แก้วจันทรา โดยจุดไฟเผาไร่ตรงเชิงเขา เพราะคิดว่าจะควบคุมได้ แต่ปรากฏว่าไฟได้โหมลุกไหม้หนักจนควบคุมไม่อยู่ แม้แต่เครื่องตัดหญ้าตนก็ถูกไฟไหม้จนถังน้ำมันระเบิด ตนเองต้องวิ่งหลบหนีด้วย
ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสอบปากคำพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาเบื้องต้นว่าเผาป่าในเขตอุทยานแห่งชาติฯ ตามมาตรา 16 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติฯ
นายนิพนธ์กล่าวว่า ขณะนี้จังหวัดเชียงรายมีประกาศให้ประชาชนที่มีความจำเป็นในการเผา ทำแนวกันไฟและขออนุญาตไปยังผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน เพื่อเสนอขออนุญาตไปยังนายอำเภอก่อน จากนั้นให้นายอำเภอจัดระเบียบการเผาวัชพืชเป็นรายตำบลเพื่อป้องกันการเกิดมลพิษจากหมอกควัน
แต่กรณีนี้ฝ่าฝืนประกาศดังกล่าวจนทำให้เกิดความเสียหายขึ้น แต่ยังดีที่มีเจ้าหน้าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง จึงควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ แต่ก็ต้องเฝ้าระวังตลอด เพราะสภาพอากาศที่แห้งในฤดูร้อนทำให้เสี่ยงต่อการลุกไหม้ได้ง่าย ส่วนผู้เผานั้นมีความจำเป็นต้องดำเนินคดี เพราะกฎหมายระบุเอาไว้ชัดเจน โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยจะสอบสวนเพื่อขยายผลไปถึงผู้ว่าจ้างด้วยว่าเล็งเห็นผลต่อเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ ขณะที่ผู้เสียหายข้างเคียงก็คงต้องฟ้องร้องกันตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป