ศรีสะเกษ - ชาวกันทรลักษ์ ศรีสะเกษค้านปิด “ปราสาทพระวิหารจำลอง” บริเวณผามออีแดงไม่ให้ประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าชมและจ่อทุบทิ้ง ชี้จุดสร้างปราสาทจำลองอยู่ในแผ่นดินไทยจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้อย่างไร แนะควรทุบประตูเหล็กกับรั้วลวดหนามเถื่อนซึ่งกั้นระหว่างไทยกับเขมรบริเวณทางขึ้นปราสาทพระวิหารเพียงเพื่อเก็บเงินค่าขึ้นชมในขณะนั้นแทน
วันนี้ (9 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณศาลหลักเมืองกันทรลักษ์ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายกิติศักดิ์ พ้นภัย หัวหน้ากลุ่มกำลังแผ่นดิน เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเป็นชาว อ.กันทรลักษ์มาโดยกำเนิด และอาศัยอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ กรณีเขาพระวิหารชายแดนไทย-กัมพูชานั้นมีความเป็นมา ลำดับเหตุการณ์ที่สลับซับซ้อน มีรายละเอียดมากมาย ทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การเมืองการปกครอง ที่ผ่านมาในหลายยุคหลายสมัย และได้เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ โดยมีอุดมการณ์และความศรัทธาในความรักชาติเป็นที่ตั้ง ได้มีการศึกษาอย่างละเอียด ทำให้เกิดการเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ได้ ซึ่งความรู้เรื่องเขาพระวิหารนั้นตนมีมาก รวมไปถึงงานวิจัยทางด้านวิชาการและอื่นๆ ในทุกมิติ
นายกิติศักดิ์กล่าวต่อว่า เมื่อได้ทราบถึงเรื่องกรณีที่มีการสร้างปราสาทพระวิหารจำลองบนพื้นที่ผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ใกล้จะแล้วเสร็จ และต่อมาทราบว่ามีคำสั่งจากผู้มีอำนาจให้ปิดปราสาทพระวิหารจำลอง มีทหารนำผ้าดำมาปิดคลุมไว้ในบริเวณนั้นทั้งหมดไม่ให้ประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าชม และอาจมีการทุบทิ้งในเวลาต่อมา
ทั้งนี้จะด้วยเหตุผลใดก็ตามตนขอแสดงความคิดเห็นว่าไม่สมควรที่จะทุบปราสาทพระวิหารจำลองทิ้ง ในเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วควรเก็บไว้เป็นประโยชน์ในด้านการศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์ ประกอบในเวลาที่มีนักท่องเที่ยวที่ได้ขึ้นไปชมทัศนียภาพบนผามออีแดง ส่วนจะมีการปรับปรุงรายละเอียดเพิ่มขึ้นก็ว่ากันไปตามความเหมาะสมในดุลพินิจ เพราะสถานที่สร้างปราสาทพระวิหารจำลองนั้นอยู่ในดินแดนไทย แล้วจะมีปัญหาอะไรในเมื่อการก่อสร้างนี้อยู่ในแผ่นดินไทย และจะไปกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้อย่างไร
นายกิติศักดิ์กล่าวด้วยว่า ขอเสนอสิ่งที่สมควรทุบทิ้งจริงๆ คือ ประตูเหล็กกับรั้วลวดหนามเถื่อน ซึ่งกั้นระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่สร้างไว้จากคนไทยเพียงไม่กี่คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ตอนช่วงไปคบค้ามีผลประโยชน์กับกัมพูชา ซึ่งประตูเหล็กกับรั้วลวดหนามเถื่อนนี้ได้สร้างขึ้นมาประมาณปี 2540-2541 เพียงเพื่อต้องการต้อนคนไทยและนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปชมตัวปราสาทให้เข้าไปตรงช่องขายบัตรผ่านประตู ได้มีการขายบัตรแล้วแบ่งเงินกันระหว่างไทยกับเขมรในเวลานั้น
โดยประตูเหล็กกับรั้วลวดหนามเถื่อนดังกล่าวตามแนวคลองน้ำนั้นได้สร้างความเข้าใจผิดในเรื่องเขตแดนเป็นอย่างมากในเวลาต่อมา ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายไทย ดังนั้น ประตูเหล็กกับรั้วลวดหนามเถื่อนจึงสมควรทุบทิ้ง รื้อถอนออกไป เพราะเป็นเรื่องการปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ ทั้งเรื่องดินแดนและทรัพยากรป่าไม้ จึงต้องการให้นำมาตรา 44 มาใช้ด้วยความเด็ดขาด
สิ่งสำคัญคือการเอา“เขาพระวิหาร” ดินแดนไทยนั้นคืนกลับมา โดยขอให้ประกาศยึดถือเส้นสันปันน้ำเพียงเท่านั้น ซึ่งภูมิรัฐศาสตร์เขาพระวิหารนั้นชัดเจน ไม่ยอมรับแผนที่แบร์นาร์ด มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่ฝรั่งเศสทำให้กัมพูชาสมัยที่เป็นเมืองขึ้น ไทยควรถอนตัวออกจากสมาชิกศาลโลก ไม่ควรยอมรับคำตัดสินของศาลโลก ย้อนไปถึงคำพิพากษาเมื่อปี 2505
ขอให้ส่งทหารไปยึดเอาภูมะเขือกับเขาพระวิหารคืนกลับมา ทั้งบริเวณปราสาททั้งหมดจนถึงเป้ยตาดี ไม่ใช่ปล่อยให้เขมรอพยพขึ้นมาอยู่จนออกลูกออกหลานเต็มไปหมด ซึ่งอยู่ในบูรณภาพแห่งดินแดนไทยแบบเวลานี้ นายกิติศักดิ์กล่าวในตอนท้าย