กาฬสินธุ์ - ตำรวจล่ากลุ่มชายฉกรรจ์มืออุ้ม “เสี่ยพล” หรือตุ้ม นักธุรกิจเมืองกรุง หลังภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นกลุ่มชายหนุ่มพาขึ้นรถตู้ เล็งสอบปากคำเครือญาติ ภรรยา และเพื่อนสนิท ชี้บุคคล 3 กลุ่ม คือ กุญแจสำคัญไขปมปริศนามุ่งหักผลประโยชน์นายหน้าที่ดินหรือชู้สาว ขณะที่ชุดสืบสวนตระเวนทั่วกรุงเทพฯ ยังพบเบาะแสผู้ตายกดเงินสดจากหลายธนาคาร และมีการโทรศัพท์เข้า-ออกในหลายพื้นที่ทางภาคอีสานก่อนจะพบเป็นศพ
คืบหน้าคดีพบศพ นายภาสพล รัตนตยาธิคุณ อายุ 48 ปี นักธุรกิจหนุ่มดีกรีนักเรียนนอก ถูกยิงเสียชีวิตริมถนนในเขตตำบลผาเสวย อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2559 สภาศพถูกยิงเข้าที่บริเวณท้ายทอย กระสุนตัดกะโหลก จุดเกิดเหตุยังปรากฏหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และรอยรอยเท้าคอมแบต และนิ้วมือแฝงจำนวนมาก
โดยตำรวจยืนยันเป็นการนำมายิงทิ้ง ที่อาจจะเกิดจากความโกรธแค้นทางชู้สาว หรือหักผลประโยชน์ธุรกิจนายหน้าค้าที่ดิน โดยญาติ และลูกสาวได้เดินทางมารับศพ และเข้าให้ปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันนี้ (6 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ สภ.สมเด็จ อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ พล.ต.ต.อภิชิต เทียนเพิ่มพูล ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.วิเชียร พินดวง รอง ผบก.ภ.จ.กาฬสินธุ์ พร้อมทีมสืบสวนได้เข้าติดตามคดีกับ พ.ต.อ.วรการ บุญประคอง ผกก.สภ.สมเด็จ พ.ต.อ.รพี สีพันนา สว. (สอบสวน) สภ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อวางแผน และสรุปผลความก้าวหน้าทางการสืบสวน ซึ่งหลังจากที่เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ภรรยา ญาติ และลูกสาวรวมถึงทนายความ 7 คน ได้เข้าให้ปากคำพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีในฐานะผู้เสียหายทางคดีอาญา
พล.ต.ต.อภิชิต เทียนเพิ่มพูล ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ผลการสอบปากคำภรรยา ลูก และญาติ เบื้องต้น ทำให้ทราบว่า นายภาสพล รัตนตยาธิคุณ (ผู้ตาย) มีภรรยาหลายคนที่คบหาแล้วเลิกรากันไป ซึ่งในขณะนี้ผลการสอบสวนเพื่อหาหลักฐาน ตำรวจได้ทำการสอบสวนไปแล้ว จำนวน 21 ปาก ซึ่งยังเหลือบุคคลอีก 3 กลุ่ม คือ เครือญาติ หมายถึง พ่อแม่ผู้ตาย เพื่อนสนิทบางคน และภรรยาที่เหลือ การให้น้ำหนักทางคดีได้พุ่งไปที่เรื่องผลประโยชน์จากนายหน้าค้าที่ดิน รองลงมาเป็นปัญหาชู้สาว
ซึ่งในขณะนี้ยังเหลือภรรยาอีก 1 คน ซึ่งเป็นหญิงสาวทางภาคเหนือ และทางพนักงานสอบสวนได้ติดต่อเพื่อให้เดินทางมาให้ปากคำ
“สิ่งที่มองข้ามไม่ได้ในเรื่องที่ดินพิพาท จนเป็นเหตุให้บริษัทเซเว้นปริ้นกรุ๊ป จำกัด ถูก บริษัทอัลฟ่า ฟ้องล้มละลายนั้น ที่มีมูลหนี้ในคดีล้มละลาย จำนวน 120 ล้านบาท แต่ด้วยการที่ใช้ที่ดินไปค้ำประกันการชำระหนี้ และประนอมหนี้ได้เหลือ 80 ล้านบาท แต่มีการขายที่ได้จริง 100 ล้านบาทนั้น กรณีนี้คงสืบให้ได้ว่า จำนวนเงินที่ขายนั้นตรงตามคำให้การหรือไม่ เพราะผู้ตายได้เข้ามาร่วมจัดการขายที่ดินด้วยหรือไม่
เนื่องจากการซื้อขายคนในครอบครัวระดับผู้บริหารต้องรับรู้ ซึ่งอาจจะมีการทำการตกลงกันเป็นอย่างอื่นเพื่อรับเงินส่วนต่างจากการขายที่ดินผืนนี้” ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ กล่าวในที่สุด
แหล่งข่าวชุดสืบสวน กล่าวว่า คดีนี้มีความซับซ้อน แต่ได้พุ่งปมการอุ้มฆ่าให้น้ำหนักมากที่สุดในเรื่องผลประโยชน์จากนายหน้าค้าที่ดิน เพราะทราบว่า ยังมีที่ดินผืนงามอีกหลายผืนที่อาจจะต้องถูกขายเพื่อนำไปชำระหนี้ ส่วนประเด็นรองเป็นเรื่องชู้สาว เนื่องจากผู้ตายเคยใช้คัตเตอร์กรีดหน้าภรรยาคนที่ 4 อาจจะเกิดความโกรธแค้น หรือกรณีไปติดพันลูกสาวพ่อเลี้ยงทางภาคเหนือแต่ครอบครัวนั้นกีดกัน ก็คงต้องรอผลการสอบจากเครือญาติจึงจะสามารถสรุปประเด็นได้
ด้านการแกะรอยหลักฐานในที่เกิดเหตุ รวมถึงการติดตามความเชื่อมโยงของผู้ตายนั้น แหล่งข่าวระบุว่า ตั้งแต่เดินทางไปสืบสวนที่กรุงเทพฯ ได้รับความร่วมมือจากทางญาติผู้ตายเป็นอย่างดี โดยเฉพาะที่ทำงานโรงพิมพ์เก่า ย่านห้วยขวาง ได้ทำการสอบปากคำพยานได้หลายคน ซึ่งการสืบสวนยังพบว่า ในวันที่ 29 เมษายน 2559 กล้องวงจรปิดบางตัวสามารถบันทึกการเข้าออกของผู้ตายก่อนที่จะหายตัวไปจากบ้าน มีกลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่า 7 คน พาขึ้นรถตู้มองไม่เห็นทะเบียน ที่มีท่าทีเหมือนรู้จักกัน
และในการแกะรอยกล้องวงจรปิดหลายแห่งยังบันทึกเห็นพบผู้ตายเดินลงไปกดเงินสดหลายครั้งจากตู้เอทีเอ็มในพื้นที่ จ.ฉะเชิงทรา และ จ.นครนายก และยังพบการเชื่อมโยงในการใช้โทรศัพท์ของผู้ตายมีการโทรติดต่อขึ้นมาทางภาคอีสานในหลายจังหวัดหลายครั้งที่ส่วนใหญ่เป็นรอยต่อ จ.ร้อยเอ็ด จ.อุดรธานี และ จ.สกลนคร ก่อนจะมาเป็นศพที่ จ.กาฬสินธุ์
แหล่งข่าวยังระบุอีกว่า การประเมินด้านหลักฐานถือว่าครอบคลุม แต่ต้องตรวจสอบให้ละเอียด โดยเฉพาะกลุ่มชายฉกรรจ์ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นคนมีสีหรือไม่ ซึ่งตำรวจกำลังสืบสวนอยู่