บุรีรัมย์- สองสามีภรรยาบุรีรัมย์พลิกผันชีวิตจากอาชีพรับจ้างรายได้ไม่แน่นอนและทำนาขาดทุน หันมาทำสวนมะม่วงหลายสายพันธุ์ทั้งในและนอกฤดู กว่า 40 ไร่ ส่งขายทั้งในและต่างประเทศ มีรายได้วันละ5,000-10,000 บาท เพียง 5 ปีชำระหนี้ ธ.ก.ส.ร่วมล้านและเก็บเงินสร้างฐานะอย่างมั่นคง เผยลองผิดลองถูกฟันฝ่าอุปสรรคทุกข์ยากลำบากมามากมายกว่าจะประสบผลสำเร็จ
วันนี้ (2 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเล็ก แนบสนิท และ นางสำเนา แนบสนิท สองสามีภรรยาวัย 48 ปี ชาว ต.บ้านแพ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ถือเป็นเกษตรกรตัวอย่างที่ต่อสู้ชีวิตฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคมากมาย จากอาชีพรับจ้างและเร่ขายผลไม้ในหลายจังหวัดมีรายได้ไม่แน่นอน จนปัจจุบันกลายเป็นเจ้าของสวนมะม่วงเนื้อที่กว่า 40 ไร่ รวมกว่า 1,800 ต้น สามารถเก็บผลผลิตวางขายหน้าสวน ขายส่งหลายพื้นที่อำเภอใน จ.บุรีรัมย์ และ จ.นครราชสีมา รวมถึงส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศเวียดนามซึ่งมีรถมารับซื้อเอง
มะม่วงที่ปลูกมีหลายสายพันธุ์ เช่น น้ำดอกไม้สีทอง ฟ้าลั่น และเขียวเสวย สามารถเก็บผลผลิตขายได้ทั้งในและนอกฤดูกาล ปัจจุบันมีรายได้จากการขายมะม่วงทั้งปลีกและส่งวันละ 5,000-10,000 บาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 1-2 แสนบาท บางช่วงผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดโดยเฉพาะช่วงนอกฤดู
สำหรับราคาขายปลีกหน้าสวน มะม่วงน้ำดอกไม้ และเขียวเสวย ขายในราคากิโลกรัมละ 50 บาท ราคาขายส่งกิโลกรัมละ 40 บาท ฟ้าลั่นขายปลีกกิโลกรัมละ 35 บาท ขายส่งกิโลกรัมละ 25 บาท
ทั้งนี้ หลังจากสองสามีภรรยาได้พลิกผันชีวิตหันมาปลูกมะม่วงขายเป็นเวลากว่า 10 ปี สามารถผ่อนชำระหนี้ ธ.ก.ส.ร่วม 1 ล้านบาทที่กู้ยืมมาลงทุนได้ ทั้งยังส่งลูกสาวเรียนจบปริญญา และมีเงินเหลือเก็บสร้างฐานะได้อย่างมั่นคงอีกด้วย
นางสำเนา แนบสนิท ยอมรับว่า กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ต้องฟันฝ่าอุปสรรคและความยากลำบากมามากมาย ทั้งลองผิดลองถูกมาหลายครั้ง เพราะหลังจากเลิกอาชีพรับจ้างหันมาขายผลไม้แล้วยังเคยกู้เงินมาลงทุนทำนา ปลูกฝรั่งขายแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้งทำให้ได้ผลผลิตไม่คุ้มทุน
กระทั่งตัดสินใจไปศึกษาเรียนรู้วิธีการปลูกมะม่วงกับเกษตรกรรายหนึ่งที่สามารถเก็บผลผลิตได้ทั้งในและนอกฤดู จึงนำความรู้มาทดลองปลูก โดยตอนแรกเริ่มต้นปลูกเพียง 3 ไร่แซมกับต้นฝรั่ง ซึ่งไม่ได้ยุ่งยากและไม่ต้องใช้น้ำมาก ผ่านไป 3 ปีสามารถเก็บผลผลิตขายได้
จากนั้นจึงตัดสินใจโค่นต้นฝรั่งทิ้งขยายปลูกมะม่วงเต็มพื้นที่ ทั้งยังซื้อที่ดินเพิ่มจนปัจจุบันมีสวนมะม่วงกว่า 40 ไร่ สามารถเก็บผลผลิตขายหน้าสวนส่งขายทั้งใน จ.บุรีรัมย์ นครราชสีมา และประเทศเวียดนาม มีรายได้เฉลี่ยวันละ 5,000-10,000 บาท
นางสำเนายังกล่าวอีกว่า การปลูกมะม่วงแม้ไม่ได้ใช้น้ำมาก แต่ต้องดูแลเรื่องโรคและแมลงโดยเฉพาะช่วงหน้าแล้งมักจะประสบปัญหา ทั้งเพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ และแมลงวันทองระบาด ทำให้ผลผลิตเสียหายบ้าง แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้น้ำหมักชีวภาพฉีดพ่นตามต้น และอาศัยภูมิปัญญาเข้ามาช่วยกำจัดโรคแมลงต่างๆ ในอีกทางหนึ่งด้วย แต่เมื่อถึงหน้าฝนโรคแมลงดังกล่าวจะหายไปเองตามธรรมชาติ
จากความไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรคและความยากลำบาก ทั้งพร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้ลองผิดลองถูกอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทั้งสองสามีภรรยาประสบผลสำเร็จจากการเป็นเจ้าของสวนมะม่วงที่ปลูกเองขายเองมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคงจนถึงทุกวันนี้