จันทบุรี - ชาวประมงพื้นบ้านจาก 3 อำเภอ ใน จ.จันทบุรี และ จังหวัดตราด รวมตัวยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อขอให้ขยายเขตพื้นที่ทำการประมงชายฝั่ง หลังได้รับผลกระทบจากการประกาศใช้พระราชกำหนดการประมง ฉบับแก้ไข 2558
เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (18 ม.ค.) นายนิวัติ ธัญญะชาติ แกนนำประมงชายฝั่งพื้นบ้านตำบลสนามไชย ได้นำชาวประมงพื้นบ้านใน 3 อำเภอ กว่า 500 คน เดินทางมายื่นหนังสือต่อ นายสมศักดิ์ ปะริสุทโธ เหมทานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ที่บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดจันทบุรี เพื่อ ขอขยายเขตพื้นที่ทำการประมงชายฝั่ง ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ได้มอบหมายให้ นายวิสิษฏ์ พวงเพชร ปลัดจังหวัดจันทบุรี เป็นตัวแทนในการไปรับหนังสือ
สำหรับการเดินทางมายื่นหนังสือของกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านในครั้งนี้ เป็นผลจากการที่กรมประมง ได้ประกาศใช้พระราชกำหนดการประมง ฉบับแก้ไข 2558 เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งในพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวมีมาตรา 34 ที่มีสาระสำคัญโดยสรุปว่า ห้ามิให้ผู้ได้รับอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านทำการประมงในเขตทะเลนอกชายฝั่งเกินจาก 3 ไมล์
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชาวประมงพื้นบ้านทำการประมงอยู่ในระยะ 6-12 ไมล์ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามาตราที่ 34 โดยเคร่งครัด จะส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของกลุ่มชาวประมงชายฝั่งพื้นบ้าน
ทำให้ในวันนี้กลุ่มชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดจันทบุรีจาก 3 อำเภอ ที่ได้รับความเดือดร้อนพากันเดินทางมายื่นหนังสือเพื่อขอขยายเขตพื้นที่ทำการประมงชายฝั่ง และขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นตัวแทนในการนำหนังสือส่งต่อไปยังรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายนิวัติ ธัญญชาติ แกนนำประมงชายฝั่งพื้นบ้าน ตำบลสนามไชย กล่าวว่า เขตพื้นที่การประมงชายฝั่งในเขตจังหวัดจันทบุรี ที่ได้มีประกาศขยายเขตชายฝั่งที่มีข้อห้ามใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมายจากเดิม 3 กิโลเมตร เปลี่ยนเป็น 3 ไมล์ โดยประกาศขยายเขตไว้เฉพาะอำเภอนายายอาม และอำเภอท่าใหม่ เท่านั้น ซึ่งในการขยายเขตพื้นที่การทำการประมงชายฝั่งจะสามารถพิจารณาขยายได้เขตทะเลอาณาเขตตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 ได้ไม่เกิน 12 ไมล์
ด้านจังหวัดตราด เมื่อ เวลา 10.00 น. ที่บริเวณศาลาร้อยปี ตราดรำลึก หน้าศาลากลางจังหวัดตราด กลุ่มประมงพื้นบ้านกว่า 200 คน จาก อ.เกาะกูด อ.เกาะช้าง อ.คลองใหญ่ อ.เมือง และอ.แหลมงอบ รวมตัวยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกมาตรา 34
จากนั้น เจ้าหน้าที่จากสำนักงานจังหวัดได้เชิญแกนนำพร้อมประมงพื้นบ้านเข้าร่วมประชุมหารือ และชี้แจง พร้อมกับยื่นหนังสือร้องเรียกให้กับนายชาญศักดิ ถวิล รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เพื่อนำเรื่องร้องเรียกเสนอไปยังรัฐบาลต่อไป
โดยเนื้อหาในหนังสือร้องเรียนระบุไว้ว่า “พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ซึ่งออกอย่างรีบเร่งโดยไม่ได้เปิดรับฟังข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นสาธารณะ และชาวประมงพื้นบ้าน ไม่มีโอกาสเข้าร่วมในการกำหนดเนื้อหาของพระราชกำหนดประมงฉบับนี้ แทนพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2558 ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบอาชีพประมงรายย่อย หรือประมงพื้นบ้านหลายประเด็น และที่มีผลกระทบมากที่สุดคือ “มาตรา 34 ของพระราชกำหนดฯ ได้ห้ามชาวประมงพื้นบ้าน ออกทำการประมงนอกเขตประมงชายฝั่งเด็ดขาด” พร้อมกำหนดโทษหนัก
ชาวประมงพื้นบ้านและประมงขนาดเล็กต่ำกว่า 10 ตันกรอส ทำการประมงด้วยการใช้เครื่องมือที่ไม่ทำลายล้างอีกทั้งได้ปฏิบัติตามกฎหมายประมงอย่างเคร่งครัดตลอดมา ซึ่งไม่เข้าข่ายเป็นประมงแบบ IUU เมื่อถูกห้ามออกนอกชายฝั่งเท่ากับตัดสิทธิการประกอบสัมมาอาชีพ อันสร้างความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพประมง การมีอาหารเพื่อการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว ด้วยพวกเราไม่ได้มีทางเลือกมากนักในการประกอบงานอาชีพในการทำมาหากินที่สืบทอดสู่พวกเราจากบรรพบุรุษ การทำประมงเป็นวิถีชีวิต วิถีการทำกินของพวกเราที่เป็นชาวประมงจำนวนมากในจังหวัดตราด
ด้านนายทัด จิตรสถาพร ชาวประมงพื้นบ้านบ้านสะพานหิน ต.แหลมกลัด อ.เมือง จ.ตราด กล่าวว่า ชาวประมงพื้นบ้านไม่เห็นด้วยกับ มาตรา 34 ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการขังชาวประมงพื้นบ้านไม่ให้ออกไปทำประมงเกิน 3,000 เมตร แต่กลับกัน ยังมีประมงพาณิชย์ที่ลักลอบทำประมงในเขต 3,000 เมตรอยู่ โดยที่หน่วนงานรัฐไม่สามารถทำอะไรได้เลย ถึงแม้จะขยายเขตการทำประมงพื้นบ้านไปแล้ว แต่ชาวประมงพื้นบ้านก็ยังได้รับผลกระทบอยู่ ซึ่งหากมาตรา 34 ไม่ได้รับการแก้ไข ชาวประมงพื้นบ้านจะอดตายไร้ที่ทำกิน และจะสู้จนกว่าจะได้ตามที่ต้องการ
ส่วนนายทม บันทิตเสถียร ประมงพื้นบ้านบ้านอ่าวใหญ่ ต.หนองคันทรง อ.เมือง จ.ตราด กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับมาตรา 34 เนื่องจาก มาตรา 34 ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ ซึ่งต้องการให้แก้ไขมาตรา 34 ให้เรือประมงพื้นบ้านขยายเขตการทำประมงออกไปจากเดิมภายใน 3,000 เมตร เป็น 12 ไมค์ทะเล หรือ 10 กิโลเมตร ซึ่งที่ผ่านมา ประมงพาณิชย์ได้สร้างความเสียหายทั้งทรัพยากรสัตว์น้ำ และเครื่องมือประมงมากมาย หากรัฐบาลไม่มีการแก้ไข ก็พร้อมจนสู้จนถึงที่สุดถึงขั้นอาจจะเข้าไปถึงกรุงเทพมหานคร