ชัยภูมิ - งามไส้! รวบ “ดาบตำรวจ” ผบ.หมู่จราจร สภ.คอนสาร ชัยภูมิ พร้อมสมุนพรานป่ายิงกระทิงฝูงสุดท้าย ตัดหัวชำแหละเนื้อบรรจุ 8 ถุง รวม 246 กิโลฯ บรรทุกรถตราโล่ สตช. สายตรวจจราจร สภ.คอนสาร ขนออกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ อ้างส่งนายทุนดัง ด้านผู้การฯ ชัยภูมิเต้นสั่งให้ออกราชการไว้ก่อนพร้อมตั้ง กก.สอบวินัยร้ายแรง
วันนี้ (2 ธ.ค.) นายชูศักดิ์ ตรีสาร ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ได้รับรายงานจากนายมีเดช พงศ์จันทรเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวว่า เมื่อเวลา 08.30 น.วันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ ได้รับทราบข้อมูลจากชาวบ้านว่าพบคนร้ายที่เป็นพรานป่าได้ล่องเรือเข้าไปในเขื่อนจุฬาภรณ์แล้วลักลอบเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ขึ้นไปยิงกระทิงที่บริเวณป่ารอยต่อที่อยู่ระหว่างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าผาผึ่ง จ.เพชรบูรณ์ ที่อยู่เหนือเขื่อนจุฬาภรณ์ ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ แล้วได้ตัดหัวกระทิงและชำแหละเนื้อบรรจุถุงขนขึ้นเรือขับออกเขื่อนจุฬาภรณ์ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
เจ้าหน้าที่ป่าไม้จึงประสานงานวางแผนกับตำรวจ ทหาร พร้อมนำกำลังออกไล่ล่าและปิดล้อมตั้งจุดสกัด ที่บริเวณหน่วยรักษาป่า (ปางม่วง) หน้าหน่วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ พร้อมกับส่งกำลังเข้าปิดล้อมปากทางเข้าออกเขื่อนจุฬาภรณ์และภายในบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ ทั้งหมด
ต่อมาขณะเจ้าหน้าที่ตั้งด่านสกัดจับได้มีรถสายตรวจจราจร สีแดงเลือดหมู-ขาว ตราโล่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดป้ายหน้ารถจราจร สภ.คอนสาร หมายเลขทะเบียน 28899 ยี่ห้ออีซูซุ บรรทุกเรือ 2 ลำขับวิ่งผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเรียกตรวจ พบ ด.ต.มงคล บุญมาตุ่น อายุ 47 ปี ตำแหน่งผู้บังคับหมู่งานจราจร สภ.คอนสาร (ผบ.หมู่จร.สภ.คอนสาร) อยู่บ้านเลขที่ 109/9 หมู่1 ต.ภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ เป็นคนขับ และพบนายปรีชา ปราบพราน อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 83 หมู่ 7 ต.คอนสาร อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ นั่งอยู่ข้างกัน
ตรวจสอบพบว่า ภายในรถคันดังกล่าวพบถุงบรรจุเนื้อส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว เจ้าหน้าที่จึงเปิดดูพบเนื้อกระทิงบรรจุอยู่ในถุงจำนวน 8 ถุง รวม 246 กิโลกรัม เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวผู้ต้องหาทั้งสองมาสอบสวนที่ด่านตรวจเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ พร้อมกับแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของดาบตำรวจ คนดังกล่าวมาร่วมสอบสวน พร้อมกับของกลางเนื้อกระทิงบรรจุอยู่ในถุงจำนวน 8 ถุง และเรือยางสีฟ้าและสีเขียวจำนวน 2 ลำ
ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้ให้การรับสารภาพว่า เมื่อเย็นวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ด.ต.มงคล ผู้ต้องหาได้รับโทรศัพท์จากกลุ่มนายทุนแก๊งพรานป่า (ขอปิดชื่อ) ว่าจ้างให้ไปขนเนื้อกระทิงที่บริเวณเหนือเขื่อน โดยนายทุนได้บอกว่าขณะนี้ลูกน้องที่เป็นพรานป่าเข้าไปไล่ล่ากระทิงที่ลงมากินน้ำในเขื่อนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว โดยได้ยิงกระทิงขณะลงมาดื่มน้ำในบริเวณด้านเหนือเขื่อนจุฬาภรณ์ จำนวน 1 ตัว โดยจะมีพรานป่านำเนื้อกระทิงขนบรรทุกเรือมาส่งให้ที่ท่าน้ำในเขตเขื่อนจุฬาภรณ์ ตนพร้อมด้วยนายปรีชาที่เป็นพรานป่าที่ชำนาญทาง จึงได้นำรถสายตรวจจราจรเดินทางเข้าไปดักรอรับเนื้อดังกล่าวเพื่อนำเนื้อไปส่งให้กลุ่มนายทุนเพื่อนำไปขาย ส่วนตนจะได้รับได้รับเงินค่าจ้างจำนวน 3,000 บาท และได้ส่วนแบ่งเนื้อกระทิงไปกิน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่า คนร้ายกลุ่มดังกล่าวมุ่งหวังเพียงแค่ไล่ล่ากระทิงเพื่อนำเนื้อมากินและขาย และต้องการตัดหัวกระทิงตัวนี้เพราะกระทิงตัวดังกล่าวมีเขาสวยงาม เป็นที่ต้องการของผู้ที่ชื่นชอบเขาสัตว์ และมีราคาหลักหมื่นบาท จึงอาจเป็นเหตุให้มีขบวนการล่ากระทิงเพื่อนำหัวไปขาย
หลังสอบส่วนในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน คือ ล่าสัตว์คุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีซากสัตว์คุ้มครองโดยผิดกฎหมาย ส่งให้ ร.ต.อ.วุฒิชัย เยิมสูงเนิน ร้อยเวรดำเนินคดีต่อไป
ขณะที่ พล.ต.ต.พงศ์ฤทธิ์ บุญเลี้ยง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) ชัยภูมิ ได้มีคำสั่งให้ด.ต.มงคล บุญมาตุ่น อายุ 47 ปี ผู้บังคับหมู่งานจราจร สภ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ (ผบ.หมู่.จร.สภ.คอนสาร) ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมตั้งกรรมการสอบสวนดำเนินการเอาผิดทางวินัยร้ายแรงต่อดาบตำรวจนายดังกล่าว
ทั้งนี้ จากที่ได้สังเกตพฤติกรรมของผู้ต้องหากลุ่มดังกล่าว คาดว่าเป็นพรานป่าในพื้นที่ที่อออกหาปลาในเขื่อนจุฬาภรณ์ และเมื่อเห็นสัตว์ต่างๆ ออกจากป่าลงมากินน้ำในตัวเขื่อนจะพากันออกไปดักซุ่มยิง เมื่อได้แล้วจะโทรศัพท์บอกกลุ่มนายทุนให้มาขนเนื้อไปขายแล้วแบ่งผลประโยชน์กัน และส่วนหนึ่งจะนำไปรับประทานแจกจ่ายให้เพื่อนตำรวจกินกัน ซึ่งกลุ่มพรานดังกล่าวนับว่าจงใจล่าสัตว์ เพราะจุดเกิดเหตุเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นที่รู้กันดีว่ามีกระทิงป่ามาอยู่อาศัยหากินเป็นประจำ จึงเชื่อว่าคนร้ายกลุ่มดังกล่าวยังมีผู้ร่วมขบวนการอีกจำนวนหนึ่ง ไม่ได้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาจะต้องมีเจตนาเข้าไปลักลอบล่าสัตว์คุ้มครองต้องห้ามอย่างกระทิง