ศูนย์ข่าวศรีราชา-สมาคมธุรกิจและการท่องเที่ยวพัทยา ชี้ความล่าช้าขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง และระบบขนส่งจุดอ่อนอู่ตะเภา รับลูกประสานผู้เกี่ยวข้องขอเพิ่มอัตรากำลังแก้ปัญหาเร่งด่วน หลังเตรียมเปิดตัวสนามบินโฉมใหม่ต้นปี 59 หวังใช้เป็น Hub เชื่อมโยงการเดินทาง และการท่องเที่ยวภาคตะวันออก
นายสินธ์ไชย วัฒนศาสตร์สาธร นายกสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา พร้อมด้วยนายรัตนชัย สุทธิเดชานัย ประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเมืองพัทยา นายสรรเพ็ชร ศุภบวรเสถียร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันออก นายธเนศ ศุภรสหัสรังสี รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ
พร้อมตัวแทนจาก ททท.พัทยา และองค์กรภาคธุรกิจการท่องเที่ยว เดินทางเข้าพบ พล.ร.ต.วรพล ทองปรีชา ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานสนามบินนาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา เพื่อติดตามความคืบหน้าการพัฒนาอาคารผู้โดยสารใหม่สนามบินอู่ตะเภา และประสานความร่วมมือในการส่งเสริมสนามบินเพื่อให้กลายเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการคมนาคม และการท่องเที่ยวของภาคตะวันออก ตามนโยบายของรัฐที่ต้องการให้อู่ตะเภาเป็นสนามบินพาณิชย์แห่งที่ 3 ของประเทศ
ทั้งนี้ มีการบรรยายสรุปว่าสำหรับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ถูกยกฐานะให้เป็นสนามบินพาณิชย์มาตั้งแต่ปี 2519 ในการดูแลของกองทัพเรือ ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 17,600 ไร่ โดยถูกจัดสรรเป็นพื้นที่หลุมจอด จำนวน 49 หลุม ที่รองรับสายการบินได้กว่า 6.2 หมื่นเที่ยวต่อปี และอาคารผู้โดยสารที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้กว่า 8.7 แสนคนต่อปี แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่พบว่าสนามบินพาณิชย์แห่งชาติ 2 สนามบินหลัก ได้แก่ สุวรรณภูมิ และดอนเมืองนั้นเริ่มมีความแออัดมากขึ้น
รวมทั้งปัญหาอุทกภัย ภาครัฐจึงมีแนวคิดในการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินพาณิชย์แห่งที่ 3 ของประเทศ เนื่องจากมีความเหมาะสมทางด้านกายภาพ และภูมิศาสตร์
กระทั่งได้รับงบประมาณสนับสนุนในการจัดสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ ในพื้นที่กว่า 65 ไร่ ซึ่งเป็นอาคารที่ทันสมัยตามคอนเซ็ปต์ Modern Terminal ที่สามารถรอบรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นถึง 3 ล้านคนต่อปี หรือ 1,500 คนต่อชั่วโมง ซึ่งอาคารนี้ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมาก และมีแผนจะส่งมอบเพื่อเปิดดำเนินการได้ภายในเดือนมิถุนายน 2559 ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบ และสมกับเป็นสนามบินพาณิชย์ระดับชาติแห่งใหม่
ด้าน นายธเนศ ศุภรสหัสรังสี รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุว่า การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาถือเป็นโครงการที่มีประโยชน์ และส่งผลดีต่อการท่องเที่ยว และคมนาคมอย่างมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออก
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาในส่วนของสนามบินเองยังมีปัญหาหลายด้านที่ต้องพัฒนา และแก้ไขเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อการรองรับ ทั้งในส่วนของอัตราค่าบริการค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าจอด รวมทั้งปัญหาสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อการให้บริการ
อย่างขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งพบว่า ที่ผ่านมามีความล่าช้าเนื่องด้วยอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ ซึ่งขัดแย้งต่อแผนการส่งเสริมให้มีสายการบินมาใช้บริการมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างสนามบิน กับเมืองพัทยา และระบบขนส่งมวลชนที่จะรองรับนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งพบว่าไม่เพียงพอต่อความต้องการ
กรณีดังกล่าว พล.ร.ต.วรพล ทองปรีชา ผอ.การท่าอกาศยานอู่ตะเภา ระบุว่า ในส่วนของขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองนั้น ที่ผ่านมา ทางสนามบินพยายามประสานไปยังผู้เกี่ยวข้องเพื่อขอสนับสนุนอัตรากำลังเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังไม่คืบหน้ามากนัก
ขณะที่ระบบการขนส่งนั้น มีการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้ามาร่วมให้บริการตามขั้นตอน และกรอบที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปัญหาต่างๆ นั้นคงจะมีการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนมากขึ้นหากปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
จึงอยากขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการส่งเสริม ประชาสัมพันธ์ และดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหันมาใช้บริการสนามบินมากขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้ร่วมนำเสนอแนวทางในความร่วมมือที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการประสานไปยังผู้เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหา รวมทั้งเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน และประชาสัมพันธ์สนามบินสู่ตลาดทั้งใน และต่างประเทศผ่านไปยังทางช่องทางต่างๆ ด้วยหวังให้สนามบินอู่ตะเภาเป็น Hub ด้านการคมนาคม และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนต่อไป