ชัยนาท - เกษตรจังหวัดชัยนาท ชวนชาวนาร่วมปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แทนทำนาปรังในช่วงฤดูแล้ง เนื่องจากใช้น้ำน้อย แถมรายได้ดี หลังพบปีนี้น้ำในเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์มีน้อยกว่าปกติ อาจจะเกิดสภาวะขาดแคลนน้ำทำนา เกษตรกรอาจได้รับผลกระทบหากมีการทำนาปรัง
วันนี้ (13 ต.ค.) นายธีระศักดิ์ ขุมเงิน เกษตรจังหวัดชัยนาท เปิดเผยว่า จังหวัดชัยนาท เป็นจังหวัดหนึ่งที่ใช้น้ำชลประทานจากเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ในปีนี้มีน้ำในเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์มีระดับน้ำน้อยกว่าปกติ น้ำใช้การที่เหลือจะลดน้อยลงไปอีก และคาดว่าจะมีฝนตกลงมาในระยะเวลาที่สั้นก่อนจะย่างเข้าสู่ฤดูหนาวนี้อาจจะเกิดสภาวะขาดแคลนน้ำทำนา เกษตรกรอาจได้รับผลกระทบหากมีการทำนาปรัง จึงขอความร่วมมือให้เกษตรกรได้งดการทำนาปีต่อเนื่องและงดทำนาปรัง
“ถ้าเกษตรกรทำนาปรังอาจกระทบต่อการขาดแคลนน้ำระหว่างเพาะปลูก โดยเฉพาะช่วงระยะน้ำนมผลผลิตข้าวจะเสียหายรุนแรง ส่วนใหญ่เกษตรกรจะแก้ปัญหาด้วยการสูบน้ำจากบ่อบาดาลน้ำตื้น ต้นทุนการทำนาปรังจะสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันที่มีราคาแพง จึงขอเชิญชวนเกษตรกรงดการทำนาปรังเพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำโดยตรงแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่ตามมาคือ ตัดวงจรชีวิตของศัตรูข้าว เช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคไหม้คอรวง เป็นต้น”
“อีกทั้งยังเป็นการปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดินให้ดีขึ้น และถ้าเกษตรกรปลูกพืชฤดูแล้งที่ใช้น้ำน้อยโดยเฉพาะข้าวโพดเลียงสัตว์ จะลดการเสี่ยงเนื่องจากผลผลิตนาปรังอาจเสียหายเมื่อน้ำไม่เพียงพอเกษตรกรจะมีรายได้ชดเชย หรือได้มากกว่าการทำนาปรัง” นายธีระศักดิ์ กล่าว
นายธีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในนาถือเป็นพืชทางเลือกหนึ่งที่ทางรัฐบาลส่งเสริม แนะนำ ซึ่งเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเปรียบเทียบรายได้ต่อไร่ต่อการทำนาปรัง อีกทั้งความต้องการของตลาดนำไปผสมเป็นอาหารสัตว์ยังมีอีกมาก โดยต้องปลูกเพิ่มในพื้นที่ถึง 100,000 ไร่ ปริมาณจึงจะเพียงพอตามความต้องการของตลาด ทั้งยังมีราคาสูง 6.50-7.50 บาท/กิโลกรัม (ความชื้นอยู่ระหว่างร้อยละ 28-35)
อีกทั้งใช้น้ำประมาณ 400 ลบ.ม./ไร่/รอบการผลิต เกษตรกรจังหวัดชัยนาทส่วนใหญ่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในนามาก่อน มีเพียงบางส่วนที่รับแนวคิดจากการส่งเสริมการปลูกพืชไร่ใช้น้ำน้อยเพื่อการรอดพ้นจากภัยแล้งเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมา จำนวน 2,000 กว่าไร่ ในส่วนของพื้นที่ตำบลบางขุด มีพื้นที่หมู่ที่ 9, 11 ปลูกจำนวน 180 ไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,200-1,500 กก./ไร่ จำหน่ายได้ในราคา 7.5 บาท ส่งผลให้มีรายได้ประมาณ 9,000 บาท/ไร่ ในขณะที่มีต้นทุนการผลิตประมาณ 3,500-4,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพน้ำในไร่ของเกษตรกร อาจกล่าวได้ว่าเกษตรกรจะมีรายได้สุทธิประมาณ 5,000 บาท/ไร่
ในปีการผลิต 2558/59 นี้ การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในนาของจังหวัดชัยนาท ได้รับการส่งเสริมแนะนำเป็นอย่างดีจากสำนักงานเกษตรจังหวัด บริษัทแปซิฟิกเมล็ดพันธุ์ จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้มีพื้นที่ปลูกนำร่องในพื้นที่อำเภอสรรคบุรี จำนวน 250 ไร่ และในพื้นที่หมู่ 10 บ้านหัวเด่น ต.บางขุด อ.สรรคบุรี ที่ปลูก จำนวน 130 ไร่ เห็นผลการเจริญเติบโตที่ดีแล้ว ซึ่งการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในนาของจังหวัดชัยนาทจะมีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกหลายไร่ ซึ่งรอพื้นที่มีความเหมาะสมต่อการเตรียมดินปลูก
นายธีระศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้นการเตรียมดินมีความสำคัญ ควรมีการไถพรวนดินให้มีความร่วนซุย เพราะจะทำให้เมล็ดข้าวโพดงอกได้ดี นอกจากนี้ ยังช่วยให้ดินมีการระบายน้ำได้ดี รากข้าวโพดหาอาหารได้ดี ซึ่งการไถพรวนควรไถอย่างน้อย 2 ครั้ง คือไถดะ การไถด้วยผาน 3 หรือผาน 4 ควรไถให้ลึกประมาณ 30 ซม. แล้วจากไถดะเสร็จควรตากดินไว้ประมาณ 10-15 วัน ไถแปร ควรไถด้วยผาน 7 เพื่อย่อยดินก้อนใหญ่ให้แตก ทำให้ดินมีความร่วนซุยมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เมล็ดพันธุ์งอกได้อย่างสม่ำเสมอ
ก่อนปลูกดินควรมีความชื้นที่พอเหมาะ ใช้รถไถเล็ก หรือรถไถเดินตาม โดยชักร่องให้มีระยะระหว่างร่องประมาณ 75 ซม.แล้วใช้คนหยอดเมล็ดลงในร่องให้มีระยะระหว่างหลุม 25 ซม. แล้วกลบดินหนา 4-5 ซม. โดยใช้เมล็ด 1-2 เมล็ดต่อหลุม หลังจากข้าวโพดงอกแล้วประมาณ 10-15 วัน ให้ถอนแยกเหลือ 1 ต้นต่อหลุม การป้องกัน และกำจัดวัชพืช โดยหลังจากปลูกข้าวโพด ก่อนข้าวโพดงอก และก่อนหญ้างอก หรือหญ้างอกต้นเล็กไม่เกิน 3 ใบ ให้พ่นยาควบคุมวัชพืชขณะดินชื้น และต้องทำรุ่นพูนโคน เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 25-30 วัน เพื่อเป็นการกำจัดวัชพืชที่งอกใหม่โดยการใช้ผานหัวหมู หรือใช้จอบถาก
นายธีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา เกษตรกรควรกล้าที่จะปรับเปลี่ยนกิจกรรมที่ให้ผลตอบแทนกำไรต่อไร่ที่สูงกว่านาปรังซึ่งเสียงต่อการขาดน้ำ สำหรับการปลูกข้าวโพดหลังนาจะให้น้ำเพียง 2-3 ครั้งตลอดฤดูปลูกเท่านั้น ดังนั้น จึงใช้น้ำน้อยกว่าข้าวนาปรังมาก เพียงแต่มีข้อระวังคืออย่าให้ขาดน้ำในช่วงออกดอก และสร้างเมล็ดเท่านั้นเป็นพอ ปลูกได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์
วันนี้ (13 ต.ค.) นายธีระศักดิ์ ขุมเงิน เกษตรจังหวัดชัยนาท เปิดเผยว่า จังหวัดชัยนาท เป็นจังหวัดหนึ่งที่ใช้น้ำชลประทานจากเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ในปีนี้มีน้ำในเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์มีระดับน้ำน้อยกว่าปกติ น้ำใช้การที่เหลือจะลดน้อยลงไปอีก และคาดว่าจะมีฝนตกลงมาในระยะเวลาที่สั้นก่อนจะย่างเข้าสู่ฤดูหนาวนี้อาจจะเกิดสภาวะขาดแคลนน้ำทำนา เกษตรกรอาจได้รับผลกระทบหากมีการทำนาปรัง จึงขอความร่วมมือให้เกษตรกรได้งดการทำนาปีต่อเนื่องและงดทำนาปรัง
“ถ้าเกษตรกรทำนาปรังอาจกระทบต่อการขาดแคลนน้ำระหว่างเพาะปลูก โดยเฉพาะช่วงระยะน้ำนมผลผลิตข้าวจะเสียหายรุนแรง ส่วนใหญ่เกษตรกรจะแก้ปัญหาด้วยการสูบน้ำจากบ่อบาดาลน้ำตื้น ต้นทุนการทำนาปรังจะสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันที่มีราคาแพง จึงขอเชิญชวนเกษตรกรงดการทำนาปรังเพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำโดยตรงแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่ตามมาคือ ตัดวงจรชีวิตของศัตรูข้าว เช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคไหม้คอรวง เป็นต้น”
“อีกทั้งยังเป็นการปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดินให้ดีขึ้น และถ้าเกษตรกรปลูกพืชฤดูแล้งที่ใช้น้ำน้อยโดยเฉพาะข้าวโพดเลียงสัตว์ จะลดการเสี่ยงเนื่องจากผลผลิตนาปรังอาจเสียหายเมื่อน้ำไม่เพียงพอเกษตรกรจะมีรายได้ชดเชย หรือได้มากกว่าการทำนาปรัง” นายธีระศักดิ์ กล่าว
นายธีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในนาถือเป็นพืชทางเลือกหนึ่งที่ทางรัฐบาลส่งเสริม แนะนำ ซึ่งเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเปรียบเทียบรายได้ต่อไร่ต่อการทำนาปรัง อีกทั้งความต้องการของตลาดนำไปผสมเป็นอาหารสัตว์ยังมีอีกมาก โดยต้องปลูกเพิ่มในพื้นที่ถึง 100,000 ไร่ ปริมาณจึงจะเพียงพอตามความต้องการของตลาด ทั้งยังมีราคาสูง 6.50-7.50 บาท/กิโลกรัม (ความชื้นอยู่ระหว่างร้อยละ 28-35)
อีกทั้งใช้น้ำประมาณ 400 ลบ.ม./ไร่/รอบการผลิต เกษตรกรจังหวัดชัยนาทส่วนใหญ่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในนามาก่อน มีเพียงบางส่วนที่รับแนวคิดจากการส่งเสริมการปลูกพืชไร่ใช้น้ำน้อยเพื่อการรอดพ้นจากภัยแล้งเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมา จำนวน 2,000 กว่าไร่ ในส่วนของพื้นที่ตำบลบางขุด มีพื้นที่หมู่ที่ 9, 11 ปลูกจำนวน 180 ไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,200-1,500 กก./ไร่ จำหน่ายได้ในราคา 7.5 บาท ส่งผลให้มีรายได้ประมาณ 9,000 บาท/ไร่ ในขณะที่มีต้นทุนการผลิตประมาณ 3,500-4,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพน้ำในไร่ของเกษตรกร อาจกล่าวได้ว่าเกษตรกรจะมีรายได้สุทธิประมาณ 5,000 บาท/ไร่
ในปีการผลิต 2558/59 นี้ การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในนาของจังหวัดชัยนาท ได้รับการส่งเสริมแนะนำเป็นอย่างดีจากสำนักงานเกษตรจังหวัด บริษัทแปซิฟิกเมล็ดพันธุ์ จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้มีพื้นที่ปลูกนำร่องในพื้นที่อำเภอสรรคบุรี จำนวน 250 ไร่ และในพื้นที่หมู่ 10 บ้านหัวเด่น ต.บางขุด อ.สรรคบุรี ที่ปลูก จำนวน 130 ไร่ เห็นผลการเจริญเติบโตที่ดีแล้ว ซึ่งการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในนาของจังหวัดชัยนาทจะมีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกหลายไร่ ซึ่งรอพื้นที่มีความเหมาะสมต่อการเตรียมดินปลูก
นายธีระศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้นการเตรียมดินมีความสำคัญ ควรมีการไถพรวนดินให้มีความร่วนซุย เพราะจะทำให้เมล็ดข้าวโพดงอกได้ดี นอกจากนี้ ยังช่วยให้ดินมีการระบายน้ำได้ดี รากข้าวโพดหาอาหารได้ดี ซึ่งการไถพรวนควรไถอย่างน้อย 2 ครั้ง คือไถดะ การไถด้วยผาน 3 หรือผาน 4 ควรไถให้ลึกประมาณ 30 ซม. แล้วจากไถดะเสร็จควรตากดินไว้ประมาณ 10-15 วัน ไถแปร ควรไถด้วยผาน 7 เพื่อย่อยดินก้อนใหญ่ให้แตก ทำให้ดินมีความร่วนซุยมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เมล็ดพันธุ์งอกได้อย่างสม่ำเสมอ
ก่อนปลูกดินควรมีความชื้นที่พอเหมาะ ใช้รถไถเล็ก หรือรถไถเดินตาม โดยชักร่องให้มีระยะระหว่างร่องประมาณ 75 ซม.แล้วใช้คนหยอดเมล็ดลงในร่องให้มีระยะระหว่างหลุม 25 ซม. แล้วกลบดินหนา 4-5 ซม. โดยใช้เมล็ด 1-2 เมล็ดต่อหลุม หลังจากข้าวโพดงอกแล้วประมาณ 10-15 วัน ให้ถอนแยกเหลือ 1 ต้นต่อหลุม การป้องกัน และกำจัดวัชพืช โดยหลังจากปลูกข้าวโพด ก่อนข้าวโพดงอก และก่อนหญ้างอก หรือหญ้างอกต้นเล็กไม่เกิน 3 ใบ ให้พ่นยาควบคุมวัชพืชขณะดินชื้น และต้องทำรุ่นพูนโคน เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 25-30 วัน เพื่อเป็นการกำจัดวัชพืชที่งอกใหม่โดยการใช้ผานหัวหมู หรือใช้จอบถาก
นายธีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา เกษตรกรควรกล้าที่จะปรับเปลี่ยนกิจกรรมที่ให้ผลตอบแทนกำไรต่อไร่ที่สูงกว่านาปรังซึ่งเสียงต่อการขาดน้ำ สำหรับการปลูกข้าวโพดหลังนาจะให้น้ำเพียง 2-3 ครั้งตลอดฤดูปลูกเท่านั้น ดังนั้น จึงใช้น้ำน้อยกว่าข้าวนาปรังมาก เพียงแต่มีข้อระวังคืออย่าให้ขาดน้ำในช่วงออกดอก และสร้างเมล็ดเท่านั้นเป็นพอ ปลูกได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์