บุรีรัมย์ - ชาวบ้าน อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ บุกร้องศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดถึงรัฐบาลให้ช่วยเหลือ หลังชาวบ้านเกือบ 300 ครัวเรือน ที่อยู่อาศัยและทำกินในที่ดินใจกลางอำเภอมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายร่วม 100 ปี ไม่สามารถออกโฉนดหรือเอกสารสิทธิถือครองได้ ทำให้เดือดร้อนไม่สามารถทำนิติกรรมหรือยกให้ลูกหลานได้
วันนี้ (24 ส.ค.) ตัวแทนชาวบ้านโรงสูบ ม.8 ต.ชำนิ อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ผ่านถึงรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีให้ช่วยเหลือกรณีที่ชาวบ้านเกือบทั้งหมู่บ้านร่วม 300 ครัวเรือน ที่อาศัยอยู่และทำกินในที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลชำนิ อ.ชำนิ ที่ได้รับตกทอดมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายเป็นเวลาร่วม 100 ปีแล้ว แต่กลับไม่สามารถออกโฉนดหรือเอกสารสิทธิใดๆ ในการถือครองที่ดินของตัวเองได้ เรื่องนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านทำให้ไม่มีหลักฐานที่จะนำไปทำนิติกรรมแปลงสินทรัพย์เป็นทุน หรือตกทอดให้กับลูกหลานได้ ทั้งที่ที่ดินที่ชาวบ้านอยู่อาศัยตั้งอยู่ใจกลางอำเภอชำนิมีสถานที่ราชการ วัด โรงเรียนตั้งอยู่ ถือเป็นแหล่งชุมชนที่มีความเจริญกลับไม่สามารถออกเอกสารสิทธิใดๆ ได้ แต่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่อีกฝั่งถนนกลับออกโฉนดที่ดินได้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาชาวบ้านเคยไปสอบถามกับทางกรมที่ดิน พร้อมทั้งทำเรื่องร้องขอความช่วยเหลือไปยังทางจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วหลายครั้งแต่เรื่องก็เงียบหาย ไม่มีการชี้แจงหรือดำเนินการใดๆ เลย กระทั่งล่าสุดได้ไปยื่นร้องที่ทำเนียบรัฐบาลแต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า จึงได้พากันมาร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรม จ.บุรีรัมย์ ถึงรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีให้ช่วยเหลือ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถออกโฉนด หรือเอกสารสิทธิในการถือครองที่ดินดังกล่าวได้
นางนิภารัตน์ ไทยยินดี อายุ 52 ปี ชาวบ้านบ้านโรงสูบ ม.8 รายหนึ่งบอกว่า ทั้งตนและชาวบ้านในหมู่บ้านอีกเกือบ 300 ครัวเรือนได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเพราะสาเหตุใดจึงไม่สามารถออกเอกสารสิทธิถือครองที่ดินได้ ทั้งที่อยู่ใจกลางอำเภอไม่ได้อยู่ในเขตป่า ทั้งยังสร้างแปลกใจให้แก่ชาวบ้านด้วยว่าทำไมชาวบ้านที่อยู่ถนนฝั่งตรงข้ามกันจึงสามารถออกเอกสารสิทธิได้ จากความเดือดร้อนดังกล่าวจึงอยากให้ทางรัฐบาลได้เข้ามาตรวจสอบช่วยเหลือชาวบ้านด้วย
ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมได้รับเรื่องไว้พร้อมจะประสานไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ และนำเสนอรัฐบาลตามที่ชาวบ้านร้องเรียน อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นยังไม่ทราบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินอะไร แต่หากเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. เบื้องต้นก็จะต้องมีการยกเลิกพระราชกฤษฎีกาเขตปฏิรูปที่ดินก่อนจึงจะเข้าทำการตรวจสอบและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้
