ศูนย์ข่าวภาคเหนือ - ตามส่องชีวิต “เคอิโงะ” ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่เคยถือรูปตามหาพ่อขณะขายปลากลางวัดท่าหลวงเมืองชาละวันจนเป็นข่าวครึกโครมในอดีต วันนี้แม้เจอพ่อชาวญี่ปุ่น แถมบินมาเยี่ยมเกือบทุกปี แต่ยังต้องเดินขายปลาถุงหน้าวิหารฯ เหมือนเดิม เส้นทางโด่งดังสะดุดแบบเป็นปริศนา
“เคอิโงะ ซาโต” ตกเป็นข่าวครึกโครมเมื่อปี 52 ขณะเดินถือรูปถ่ายตามหาพ่อชาวญี่ปุ่น ขายปลาถุงหน้าวิหารหลวงพ่อเพชร ณ วัดท่าหลวง เมืองพิจิตร หลังสื่อประโคมข่าวสร้างความฝัน “ด.ช.วัย 9 ขวบ” เป็นจริงขึ้นมา เมื่อ “นายคัทซูมิ ซาโต” พ่อผู้พลัดพรากมานาน บินลัดฟ้ามาพบหน้าลูกชายครั้งแรก และรับปากว่าจะมาเยี่ยมตามสัญญาทุกๆ ปี
ณ วันนี้ หลายคนถามว่าผ่านมาเกือบ 6 ปี หลังเป็นข่าวโด่งดังชีวิต “เคอิโงะ” อยู่ดีมีสุข เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เพราะหลังเป็นข่าวโด่งดังมีคนใจบุญทั่วสารทิศบริจาคเงินช่วยเหลือเติมฝันเขาอย่างมากมาย
ล่าสุดผู้สื่อข่าว “เอเอสทีวีผู้จัดการ” ได้เดินทางไปที่วัดท่าหลวง จุดเริ่มต้นดรามาที่ครึกโครมของ “เคอิโงะ” พบว่า มาถึงวันนี้ (6 ส.ค. 58) จากเด็กชายเคอิโงะ กลายเป็นหนุ่มรุ่น วัย 15 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.4 สายวิทย์-คณิต โรงเรียนพิจิตรพิทยาคม ยังแวะไปช่วยขายปลาให้คนปล่อยทำบุญอยู่ริมแม่น้ำน่านในวัดท่าหลวงหลังเลิกเรียนเป็นประจำก่อนกลับบ้านที่อยู่ห่างวัดฯ เพียงไม่กี่ร้อยเมตร
นางปัทมา จตุพิศ ป้าที่รับอุปการะเลี้ยงดู “เคอิโงะ ซาโต” บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ครอบครัวตนมีอาชีพขายไก่ย่าง ส้มตำ บริเวณลานจอดรถวัดท่าหลวง ตัวเมืองพิจิตร ที่ผ่านมาใครๆ ก็ถามและนึกว่าเคอิโงะ สบายไปแล้ว มีเงินเดือนกิน แต่จริงๆ ยังเหมือนเดิม เงินก้อนที่ได้รับบริจาค 2 แสนบาทก็ยังอยู่ ทางโรงเรียนเป็นผู้ดูแล หากอายุ 18 ปีจึงจะสามารถถอนได้ ส่วนบัญชีเล็กมียอดหลักหมื่น สามารถเบิกมาเป็นค่าเล่าเรียนได้
“ชีวิตของเคอิโงะทุกอย่างก็เหมือนเดิม เรียนหนักขึ้น เพราะอยู่ชั้น ม.4 ไม่ค่อยมีเวลา บางวันเย็นๆ อาจมาช่วยขายปลาบ้าง แต่ถ้าวันเสาร์-อาทิตย์ ต้องมาช่วยขายปลาถุงหน้าวิหารวัดท่าหลวงเป็นประจำ”
ถามว่าชีวิตความเป็นอยู่ของ “เคอิโงะ” ดีขึ้นไหม ป้าปัทมาตอบว่าดีขึ้น จากเดิมที่มีคนแกล้ง มีคนล้อ แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้น คนรู้จัก ส่วนการเรียนนั้น เคอิโงะตั้งใจเรียน ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ชอบพูดคุยเป็นปกติอยู่แล้วตั้งแต่เล็กๆ ชอบอยู่คนเดียว
ส่วนนายคัทซูมิ ซาโต มาเที่ยวเมืองไทยครั้งหนึ่งประมาณ 3-7 วัน ล่าสุดปลายกุมภาพันธ์ 57 มากินนอนกับเคอิโงะตลอด พูดคุยเล็กๆ น้อยๆ เพราะต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ สอบถาม สบายดีไหม กินข้าวไหม ถือว่าเขารักลูก แต่พ่อไม่ได้ส่งเงินจากญี่ปุ่น คิดว่าเขายังไม่มีฐานะดีพอ ส่วนทำงานประกอบอาชีพอะไรนั้นไม่ชัดเจน
นางปัทมาเล่าย้อนถึงอดีตสมัยเป็นข่าวโด่งดังอีกว่า ตอนนั้นมีหลายรายการเชิญตัวไปออกรายการทีวีนับไม่ถ้วน ส่วนนักเขียนการ์ตูนเคยบอกว่าจะทำหนังสือการ์ตูน “เคอิโงะจัง” แต่ก็เงียบหายไปไม่ทราบสาเหตุ หลังติดต่อผ่านบุคคลที่รู้จักคนหนึ่ง เช่นเดียวกับค่ายหนังยักษ์ใหญ่ก็เคยพูดกันว่าจะทำภาพยนตร์ ให้เป็นดารา นักร้อง แต่ก็เงียบไปแล้ว เขาบอกว่าเรื่องมันจบไปแล้ว ตามหาพ่อได้แล้ว บ้างก็บอกเอาเด็กไปหากิน
ด้านนายบัญญัติ จตุพิศ ผู้เป็นลุง “เคอิโงะ” กล่าวว่า อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ 6-7 คน ที่บ้านเลขที่ 686 ถนนศรีมาลา ต.ในเมือง อ.เมืองพิจิตร บ้านพักหลังเดิมที่ “เคอิโงะ” อยู่สมัยเด็กๆ สภาพเก่า ไม่ได้ตกแต่งใดๆ ช่วยกันทำมาค้าขาย ขายส้มตำ ไก่ย่าง ขายปลาปล่อยหน้าวัดท่าหลวงหาเลี้ยงชีพ พอมีเงินให้เคอิโงะไปโรงเรียนวันละ 50 บาท
“ยืนยันไม่ได้รับเงินจากพ่อที่ญี่ปุ่น มีเพียงนายคัทซูมิ ซาโต มาเมืองไทยแต่ละครั้งจะให้ไม่เกิน 7 พันบาท เห็นเขาบอกว่านายคัทซูมิ ซาโต ทำงานเกี่ยวกับบาร์เบียร์ วุฒิการศึกษาไม่มาก จึงบอกให้เคอิโงะตั้งใจเรียน”
ขณะที่ เคอิโงะ ซาโต เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวด้วยใบหน้าเศร้าๆ เมื่อถามถึงพ่อชาวญี่ปุ่น เพียงว่า พ่อมาเมืองไทย 3 ครั้ง มาปีเว้นปี ก็มานอนที่บ้านป้า พ่อเคยพูดว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกันไหม ตนก็บอกว่าอยากไป แต่ยังไม่ได้ไป พ่อบอกว่าอยู่ญี่ปุ่นขายราเมน พ่อยังไม่มีแฟนหรือครอบครัวใหม่ เขายังคุยเรื่องแม่สมัยเป็นแฟนกันอยู่เลย
“เงินในบัญชีมีอยู่ 2 แสนบาท เบิกเพียงบัญชีเล็กมาใช้เพียง 5 พันบาทสำหรับค่าเล่าเรียน ส่วนผลการเรียนนั้นไม่ค่อยดี เรียนฟิสิกส์ไม่ค่อยเก่ง ม.4 ต้องเรียนหนัก บางวันก็ไม่สามารถมาช่วยขายปลาถุงได้”
เมื่อถามว่าชีวิตเป็นอย่างไรบ้างหลังจากเป็นข่าว “เคอิโงะ” บอกว่า ดีขึ้น มีคนมาช่วยเหลือ แต่ก่อนมีคนล้อเรื่องแม่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรังแก
ถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร “เคอิโงะ” บอกยังไม่รู้เลย แต่อยากไปญี่ปุ่น!!