ศรีสะเกษ - “เฒ่า 81 ปี” หวงแผ่นดินและกลุ่มธรรมยาตราฯ ออกเดินเท้าจากเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เข้ากรุงเพื่อถวายฎีกา “ในหลวง” ทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหาร แบบค่ำไหนนอนนั่น ไม่หวั่นผิดกฎหมาย คสช.ชี้ไม่ได้รวมกลุ่มทางการเมือง เผยขายที่ดินได้เงิน 5 แสนบาทเป็นค่าใช้จ่าย ลั่นเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายต้องเอาแผ่นดินไทยคืนมาให้ได้ ระบุถึงกรุงเทพฯ 3 ธ.ค.และถวายฎีกา 4 ธ.ค.นี้
วันนี้ (28 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงค่ำที่ผ่านมา (27 ก.ค.) ที่บ้านเลขที่ 221 ม. 4 บ้านโศกขามป้อม ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บ้านของนายผัน กิ่งแสง นักต่อสู้เพื่อทวงคืนผืนแผ่นดินไทย ที่บริเวณเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายสมาน ศรีงาม แกนนำกลุ่มธรรมยาตราและสภาประชาชน พร้อมด้วย นายผัน กิ่งแสง อายุ 81 ปี นายวิชาญ ภูวิหาร อายุ 47 ปี นายภิเศก อาจทวีกุล อายุ 38 ปี ทนายความ นายมนัส เดชเสน่ห์ อายุ 56 ปี นางแก้ว แสงบุญ อายุ 52 ปี ได้ร่วมกันแถลงข่าวการออกเดินเท้าจากบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ เพื่อไปถวายฎีกาแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช แห่งบรมราชจักรีวงศ์สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ประมุขแห่งราชอาณาจักรไทยและจอมทัพไทย เรื่อง การสูญเสียแผ่นดินเขาพระวิหารและมณฑลบูรพา พร้อมทั้งการกอบกู้ โดยจะขอให้ประชาชนตามเส้นทางที่เดินเท้าผ่านไปให้ลงชื่อเพื่อร่วมกันถวายฎีกาด้วย ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินเท้าไปถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 3 ธ.ค. 2558 และจะถวายฎีกาแด่ในหลวงในวันที่ 4 ธ.ค. 2558
นายสมาน ศรีงาม แกนนำกลุ่มธรรมยาตราและสภาประชาชน กล่าวว่า ได้เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่ารัฐบาลของระบอบเผด็จการรัฐสภาได้ทำให้เสียแผ่นดินรอบๆ ปราสาทพระวิหาร และแผ่นดินทั้งบนบกและในทะเลอ่าวไทยจำนวนมาก ตามคำตีความคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 ของศาลโลก เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2556 โดยรัฐบาลของระบอบเผด็จการรัฐสภาดังกล่าวไม่ได้แสดงความรับผิดชอบ แก้ไขจากแพ้แก้ให้เป็นชนะ หรือไม่ได้สงวนสิทธิ์ในการต่อสู้ใหม่ของไทยไว้เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ยังยอมรับความพ่ายแพ้ ยอมยกแผ่นดินไทยให้แก่ต่างชาติโดยดุษฎี ขัดอย่างร้ายแรงต่อพระบรมราชโองการอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ว่า “ในรัชกาลของข้าพเจ้าจะไม่ให้เสียแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” และขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 โดยเฉพาะมาตรา 1 “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้”
โดยกลุ่มธรรมยาตราได้ยื่นหนังสือหลายฉบับถึงรัฐบาล และถึงกระทรวงการต่างประเทศและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น ให้ฟ้องโมฆะสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904-1907 และให้ใช้อนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1914 ขึ้นสู้ในศาลโลก จึงจะมีชัยชนะรักษาแผ่นดินเขาพระวิหารและปราสาทพระวิหารไว้ได้
อีกทั้งยังสามารถกอบกู้ดินแดนมณฑลบูรพา 4 จังหวัด คือ จ.พระตะบอง จ.พิบูลสงคราม จ.นครจำปาศักดิ์ จ.ลานช้าง รวมเนื้อที่ทั้งหมด 69,029 ตร.กม. คืนมาเป็นของราชอาณาจักรไทยเช่นเดิมได้อีกด้วย แต่รัฐบาลที่ผ่านมาไม่ยอมดำเนินการให้ถูกต้องดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้ไทยแพ้กัมพูชาและเสียแผ่นดินรอบปราสาทพระวิหารและเสียปราสาทพระวิหารให้แก่กัมพูชา
ดังนั้น พวกตนจึงจะไปถวายฎีกาเรื่องนี้แด่ในหลวง เพื่อขอให้ทรงพระกรุณาวินิจฉัยในเรื่องนี้ เพื่อจะได้เป็นการทวงคืนแผ่นดินไทยดังกล่าว ซึ่งการเดินเท้าในครั้งนี้พวกตนไม่หวั่นเกรงว่าจะขัดต่อกฎหมายของ คสช. เพราะพวกตนไม่ได้รวมกลุ่มสร้างความวุ่นวายทางการเมือง แต่เป็นการรวมกลุ่มไม่เกิน 5 คน เดินเท้าไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) เพื่อถวายฎีกาแด่ในหลวง
นายผัน กิ่งแสง อายุ 81 ปี กล่าวว่า ตนเกิดมาอายุขนาดนี้แล้วจะไม่ยอมให้เสียแผ่นดินไทยที่บริเวณเขาพระวิหารอย่างเด็ดขาด โดยขณะนี้ตนได้ขายที่ดิน 2 งานที่บ้านโศกขามป้อม ได้เงินมาจำนวน 500,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในทวงคืนแผ่นดินไทยที่เขาพระวิหาร ตนขอประกาศว่านี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ตนจะขอยอมตายเพื่อเอาแผ่นดินไทยที่เขาพระวิหารกลับคืนมาเป็นของประเทศไทยให้ได้ ขอให้ลูกหลานไทยทุกคนเข้ามาร่วมกันต่อสู้เพื่อเอาแผ่นดินไทยของเรากลับคืนมาให้ได้ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากการแถลงข่าวเสร็จแล้ว คณะกลุ่มธรรมยาตราได้พากันเดินเท้าออกจากบ้านของนายผัน กิ่งแสง มุ่งหน้าไปยังกรุงเทพฯ ท่ามกลางสภาพอากาศที่เริ่มมืดค่ำแล้ว พร้อมทั้งแจกจ่ายคำถวายฎีกาให้ประชาชนเพื่อให้ร่วมกันลงนามในคำถวายฎีกาด้วย