ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “นายกหนองไผ่ล้อม” โคราช ออกโรงโต้ ลั่นยึดหลักธรรมาภิบาล ไม่เคยข่มขู่ทำร้ายร่างกายข้าราชการลูกน้อง ยันให้ความเป็นธรรมบนความถูกต้อง ระบุการบริหารงานยึดระเบียบข้อปฏิบัติเคร่งครัด พร้อมเดินหน้าทำงานบนความขัดแย้งเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ส่วนใครหมิ่นประมาทใส่ร้ายทำเสียชื่อเสียงส่งทนายแจ้งดำเนินคดีเพื่อให้ความจริงปรากฏ
วันนี้ (16 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่สมาชิกสภาเทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครราชสีมา ได้เปิดอภิปรายถึงการบริหารงานที่ขาดหลักธรรมาภิบาลของนายกเทศมนตรีตำบลหนองไผ่ล้อมกรณีการบริหารงานบุคคล และการดำเนินงานให้บริการสาธารณะไม่เป็นไปตามหลักธรรมาธิบาล ในการประชุมสภาเทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อมสมัยวิสามัญ สมัยที่ 1 ครั้งที่ 1 ประจำปี 2558 เมื่อช่วงต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด นายไพบูลย์ พฤกษ์พนาเวศ นายกเทศมนตรีตำบลหนองไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า กรณีที่สมาชิกสภาเทศบาลฯ บางคนได้หยิบยกเอาหนังสือร้องเรียนของ นางลักษณา ประสีระเตสัง ผู้อำนวยการกองคลังเทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อมขึ้นมากล่าวอ้างนั้น ในวันประชุมตนได้แจ้งให้ทราบแล้วว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัว การนำเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดในที่ประชุมหากพาดพิงถึงใครก็ขอให้คนพูดรับผิดชอบ
ส่วนการที่ระบุว่าตนไปพูดข่มขู่ลูกสาวของนางลักษณา คือ นางพงษณา พรหมดีสาร เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี สังกัดกองคลังเทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อม นั้น สืบเนื่องมาจากกรณีที่ทางจังหวัดนครราชสีมาได้เข้ามาตรวจพบว่าการบริหารจัดการของกองคลังมีการเบิกค่าใช้จ่ายเป็นค่าเช่าบ้านผิดระเบียบ คือ ไปเบิกค่าเช่าบ้านย้อนหลัง ซึ่งค่าเช่าบ้านดังกล่าวเป็นสวัสดิการที่ตามระเบียบสามารถเบิกได้แต่ต้องทำให้ถูกต้อง ซึ่งกรณีที่เกิดปัญหาคือทางจังหวัดมาตรวจสอบและแจ้งว่ามีการเบิกค่าเช่าบ้านย้อนหลังทำไม่ได้เพราะผิดระเบียบ ตนในฐานะผู้บังคับบัญชาและดูแลเทศบาลฯ จึงเรียกมาสอบถามข้อเท็จจริงว่าทำผิดระเบียบหรือไม่
ทั้งนี้ เมื่อเรียกเอกสารมาดูพบว่าตนในฐานะนายกเทศมนตรียังไม่ได้เซ็นอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสภาพบ้านเลย และสัญญาก็ยังไม่เห็น แต่ปรากฏว่ามีสัญญาไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาย้อนหลัง ตนได้ถามไปอีกว่าเมื่อยังไม่แต่งตั้งกรรมการเลยแล้วใครไปตรวจสอบสภาพบ้านให้ ขอให้เรียกกรรมการมาดูซึ่งเขาบอกว่ามี 3 คน เมื่อสอบถามกรรมการทั้งหมดต่างลงความเห็นตรงกันว่าผิดจริง โดยอ้างว่าเขาให้ลงลายมือชื่อก็ลงไปโดยไม่รู้ ซึ่งตนได้ให้ลงบันทึกถ้อยคำไว้เป็นที่เรียบร้อย
ดังนั้นเมื่อทำผิดก็เรียกมาหารือกันทุกคนและให้กลับไปแก้ไขให้ถูกต้อง แต่เมื่อกลับออกไปก็ไม่พอใจ ไปโพสต์เฟซบุ๊กด่าตน แล้วส่งให้คนโน้นคนนี้กระจายไปเรื่อย รุ่งเช้ามาตนจึงเรียกมาสอบถามว่าไม่พอใจอะไร ซึ่งไม่ได้มีการเตรียมการกับใครและไม่ได้วางแผนที่จะทำร้ายร่างกายตามที่กล่าวอ้าง เพียงแต่เดินสวนทางกันที่บันไดก็เรียกเข้ามาคุยที่ห้องทำงาน และมาสอบถามว่าการที่โพสต์ข้อความลักษณะด่าตนนั้นแปลว่าอะไร
“ยืนยันว่าวันนั้นผมเรียกมาอธิบายดีๆ เรียกมาทำความเข้าใจดีๆ ซึ่งในห้องนั้นมีหัวหน้าของนางพงษณาอยู่ในเหตุการณ์ตลอด ทุกคนก็รับทราบด้วยดี แต่สุดท้ายกลับมาบอกว่าผมข่มขู่ และจะทำร้ายร่างกายลูกสาวตัวเองทั้งที่ความจริงคือการเชิญมาสอบถามโดยดี”นายไพบูลย์กล่าว
นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีของ นางปรียาภรณ์ ทิพย์โสภณ ลูกจ้างทั่วไป กองคลัง ที่ระบุว่าตนทำเอกสารอันเป็นเท็จกลั่นแกล้งจนเกิดการฟ้องร้องกันนั้นไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยกลั่นแกล้งใคร กรณีของนางปรีญาภรณ์นั้นตนได้รับการร้องเรียนจากนางบุญเกื้อ ว่านางปรียาภรณ์ไปหลอกลวงว่ารู้จักกับผู้ใหญ่สามารถฝากให้เข้าทำงานที่เทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อมได้ แต่ต้องจ่ายเงิน 200,000 บาท ซึ่งนางบุญเกื้อหลงเชื่อจ่ายเงินดังกล่าวให้แต่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้เข้ามาทำงานเลย
ตนในฐานะผู้บังคับบัญชาจึงเรียกมาสอบถาม ซึ่งนางปรียาภรณ์ยอมรับว่าได้หลอกลวงประชาชนจริง ซึ่งได้ให้ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานด้วย มีเอกสารยืนยันชัดเจน ตนไม่มีพฤติกรรมไปข่มขู่ให้นางปรียาภรณ์มารับสารภาพแต่อย่างใด มีพยานยืนยันชัดเจน ส่วนเรื่องที่ฟ้องร้องศาลนั้นเป็นคนละเรื่อง โดยเป็นกรณีการประเมินว่านางปรียาภรณ์ไม่ผ่านการประเมิน ตนจึงให้ออกจากลูกจ้าง แต่นางปรียาภรณ์ไปร้องจังหวัดให้มีการพิจารณาใหม่ ตนจึงให้กลับเข้ามาทำงานตามเดิม นางปรียาภรณ์จึงนำเรื่องดังกล่าวไปฟ้องร้องศาล ซึ่งศาลชั้นต้นยกฟ้องไปแล้วเรื่องก็จบ ส่วนจะไปอุทธรณ์ต่อหรือไม่เรื่องนี้ขอให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน
นายไพบูลย์กล่าวถึงกรณี นายวุฒิคุณ คำควร เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชน ที่อ้างว่าตนจะทำร้ายร่างกายโดยกระชากคอเสื้อจะตบหน้าและพูดจาข่มขู่ กล่าวหาว่าดื่มสุราในเวลาราชการ โดยไม่สอบถามใดๆ นั้น เหตุการณ์วันนั้นมีการประชาคมอยู่ที่กองทัพภาคที่ 2 นายวุฒิคุณก็ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาสภาพเมาแอ๋มางาน ตนสอบถามว่ามาทำงานในสภาพแบบนี้ได้อย่างไร จะดูแลประชาชนได้หรือ หากทำงานไม่ได้ให้กลับไปบ้านเลย อย่ามาให้ชาวบ้านเห็นสภาพแบบนี้ นายวุฒิคุณก็กลับบ้านไป ซึ่งตนไม่ได้มีพฤติกรมที่จะไปกระชากคอเสื้อหรือทำร้ายร่างกายเลย ในวันดังกล่าวก็มีประชาชน มีหัวหน้าส่วนราชการจำนวนมากที่เห็นเหตุการณ์
ทั้งนี้ ตนไม่ใช่คนมีพฤติกรรมก้าวร้าว แต่ได้ต่อว่าจริงเนื่องจากทำตัวไม่เหมาะสมเพราะคนภายนอกที่มองเข้ามาเขาก็จะว่านายกเทศมนตรีไม่ดูแลลูกน้อง และนายวุฒิคุณก็ได้ถอนแจ้งความไปแล้ว ตอนนี้นอนป่วยอยู่ที่ห้องไอซียูจากพิษสุราเรื้อรัง แต่กลับเอามาเป็นประเด็นก็ต้องชี้แจงกัน
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นแต่ทุกคนที่กล่าวมานั้นยังคงทำงานอยู่ที่เทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อมเหมือนเดิม ตนไม่ได้ให้ย้ายไปไหน ส่วนที่เป็นคดีความกันก็สู้กันต่อไปเพื่อให้ความจริงปรากฏ และการที่หยิบยกเอาเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดหรือใครกล่าวหาตนก็จะให้ทนายความไปดูว่าใครให้ร้ายหรือหมิ่นประมาท และจะดำเนินการแจ้งความเอาผิดต่อไป โดยเฉพาะผู้อำนวยการกองคลังที่ใส่ร้ายตนทำให้เสียหายต่อตำแหน่งชื่อเสียงได้ให้ทนายความเตรียมดำเนินคดีทั้งหมดแล้ว
“วันนี้จึงอยากขอความเป็นธรรมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นผมไม่ได้กระทำตามที่ถูกกล่าวหาให้ร้าย และผมมีหลักฐานยืนยันชัดเจน และอยากถามว่าผมขาดธรรมาภิบาลตรงไหน พยายามเอาอะไรมาเชื่อมโยงกันให้กลายเป็นเรื่องราว ยืนยันการบริหารงานรวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบข้อปฏิบัติ ฉะนั้นจึงอยากขอความเป็นธรรมว่า บางครั้งข้อมูลข่าวที่ได้รับต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดและต้องรับฟังทั้งสองฝ่าย ซึ่งการบริหารงานจากนี้ไปต้องใช้หลักการบริหารบนความขัดแย้งให้เทศบาลฯ เดินหน้าต่อไป และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น” นายไพบูลย์กล่าว