พิษณุโลก - หน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จ.พิษณุโลก นำสารโซเดียมคลอไรด์จำนวน 1.8 ตันขึ้นบิน หวังเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ช่วยเหลือเกษตรกรพิษณุโลก เพชรบรูณ์ พิจิตร อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร และสุโขทัย อย่างเร่งด่วน
รายงานข่าวจากจังหวัดพิษณุโลกแจ้งว่า วันนี้ (13 ก.ค.) ที่หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดพิษณุโลก นายกฤติชัย ธรรมสอน นักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จ.พิษณุโลก กล่าวว่า หลายพื้นที่ของภาคเหนือประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก ฝนยังไม่ตกตามฤดูกาล ส่งผลทำให้พืชผลทางการเกษตรของประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำอย่างหนัก
ประกอบกับในปีนี้มีการปรับปฏิทินการจ่ายน้ำเข้าช่วยพื้นที่ทางการเกษตรให้เร็วขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้ระดับน้ำในเขื่อนหลักอย่างเช่น เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาณที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาก จึงต้องเร่งทำฝนเทียมเพื่อช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรและเติมน้ำเข้าเขื่อนอย่างเร่งด่วน
นายกฤติชัยกล่าวอีกว่า ภารกิจในการขึ้นทำฝนหลวงวันนี้คือช่วยเหลือพื้นที่ทางการเกษตรภาคเหนือตอนล่างทั้งหมด ผลการตรวจสอบสภาพอากาศในช่วงเช้าพบว่าในวันนี้สภาพอากาศมีความเหมาะสมจึงได้ขึ้นบินทำฝนหลวงตามคำร้องขอทันที ปัญหาภัยแล้งที่พบ คือ จ.เพชรบูรณ์ ตาก พิษณุโลก พิจิตร สุโขทัย อุตรดิตถ์ และกำแพงเพชร
โดยวันนี้ได้นำเครื่องบินรุ่นคาราแวน บรรทุกสารโซเดียมคลอไรด์ น้ำหนัก 800 กิโลกรัม ขึ้นบินในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ และพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนเครื่องบินรุ่นคาซ่า บรรทุกสารโซเดียมคลอไรด์ น้ำหนัก 1,000 กิโลกรัมขึ้นบินในพื้นที่ จ.กำแพงเพชร และพื้นที่ใกล้เคียง โดยบินในลักษณะวางแกนกลั่นตัวสร้างเม็ดน้ำให้เป็นเมฆ จากนั้นจะคอยตรวจสอบสภาพอากาศว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหน หากมีการเกิดเม็ดฝนเกาะกลุ่มกันก็จะขึ้นบินเพื่อนำสารแคลเซียมออกไซด์ไปเลี้ยงให้เมฆอ้วน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 2 และหากอ้วนแล้วจะนำขึ้นจู่โจมเม็ดฝนในกระบวนการที่ 3 และที่ 4 ต่อไป โดยวันหนึ่งจะขึ้นบินประมาณ 9-12 เที่ยว
นอกจากนี้ ในวันพรุ่งนี้ (14 ก.ค.) หน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จ.เชียงใหม่ จะนำเครื่อง ทำฝนหลวงมาช่วยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างอีกจำนวน 2 ลำ เพื่อเร่งออกปฏิบัติการทำฝนหลวงในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งพื้นที่ทางการเกษตรกำลังประสบภัยแล้งขาดแคลนน้ำอย่างหนัก และเร่งเติมน้ำเข้าเขื่อนเพื่อรักษาสมดุลของเขื่อนอย่างเร่งด่วนต่อไป