บุรีรัมย์ - เกษตรกรบ้านน้อยอุบล อ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ทยอยตัดโค่นต้นยางพาราที่เปิดกรีดแล้วทิ้ง มากกว่า 30 ราย เนื้อที่กว่า 300 ไร่ หันไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน หลังประสบปัญหาราคาตกต่ำต่อเนื่อง ขายได้ไม่คุ้มทุน ซ้ำแห้งแล้งทำน้ำยางน้อย ร้องรัฐบาลเร่งหาทางแก้ไขช่วยเหลือเกษตรกร
วันนี้ (18 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกษตรกรบ้านน้อยอุบล ต.โนนสุวรรณ อ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ได้ทยอยตัดโค่นต้นยางพาราที่เปิดกรีดแล้วอายุตั้งแต่ 15-20 ปีทิ้ง เพื่อหันไปปลูกมันสำปะหลัง ข้าวโพด และพืชอายุสั้นชนิดอื่นทดแทน หลังจากประสบปัญหาราคายางตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันราคารับซื้อยางแผ่นดิบในพื้นที่อยู่ที่เพียงกิโลกรัมละ 46-47 บาท และยางก้อนถ้วยอยู่ที่กิโลกรัมละ 28 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบหลายปี
โดยขณะนี้เกษตรกรในหมู่บ้านน้อยอุบลได้ตัดโค่นต้นยางทิ้งแล้วกว่า 30 ราย เฉลี่ยรายละ 10-15 ไร่ รวมที่ตัดทิ้งแล้วกว่า 300 ไร่ โดยเกษตรกรระบุว่าที่ตัดโค่นต้นยางทิ้งเพราะราคาตกต่ำขายได้ไม่คุ้มทุน อีกทั้งยังประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำเติมทำให้ปริมาณน้ำยางลดน้อยลง แต่เกษตรกรกลับต้องแบกรับภาระทั้งค่าบำรุงรักษา และค่าจ้างกรีด จึงตัดสินใจโค่นทิ้งแล้วหันไปปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนที่ให้ผลตอบแทนเร็วและสามารถขายได้ราคาสูงกว่า
จากกรณีดังกล่าวเกษตรกรจึงได้เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาราคายางไม่ให้ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 60 บาทขึ้นไป จึงจะสามารถอยู่รอดได้
ด้าน นายสวาท จำปาสา เกษตรกรบ้านน้อยอุบล ต.โนนสุวรรณ อ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ระบุว่า สาเหตุที่ตัดสินใจโค่นต้นยางที่มีอายุเกือบ 20 ปี เนื้อที่กว่า 10 ไร่ทิ้ง เนื่องจากปัญหาราคายางพาราที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และไม่มั่นใจว่าราคายางในวันข้างหน้าจะสูงขึ้นกว่านี้หรือไม่ ทำให้ต้องตัดสินใจโค่นต้นยางทิ้งเพื่อหันไปปลูกมันสำปะหลังแทน ที่เชื่อว่าจะขายได้ราคาดีกว่ายางพารา เพราะหากยังปลูกต้นยางไว้แต่ราคาไม่ดีขึ้นก็จะยิ่งทำให้ขาดทุนเพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใส่ปุ๋ยบำรุงรักษาต้น รวมทั้งค่าจ้างแรงงานในการกรีดยาง และค่าขนส่ง
“จึงอยากวิงวอนให้รัฐบาลเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประกอบอาชีพปลูกยางพาราด้วย” นายสวาทกล่าว
