ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ตร.สืบภาค 3 เร่งสางคดีปืน อส.โคราชหายอื้อกว่า 70 กระบอก ส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่เร่งควานหาของกลาง เผยสอบปากคำไปแล้วหลายสิบปาก แม่ทัพภาคที่ 2-ผู้ว่าฯ โคราชไฟเขียวลุยเต็มที่ ชี้เป็นภัยต่อความมั่นคง ระบุรู้ตัวผู้รับผิดชอบแล้วพร้อมมีประจักษ์พยานเห็นขนปืนออกไป ลั่นสาวถึงใครใหญ่แค่ไหนก็จับ แย้มออกหมายจับล็อตแรกเร็วๆ นี้ เชื่อทำเป็นขบวนการ
เมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ (11 มิ.ย.) ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ต.ต.ปกรณ์ เสริมสุวรรณ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 (ผบก.สส.ภ.3) เปิดเผยถึงการสืบสวนคดีอาวุธปืนเอ็ม 16 ของกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดนครราชสีมาที่ 1 (อส.นม.1) ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา หายไปจำนวนมาก ว่า ขณะนี้ได้ตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษของกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 กระจายลงพื้นที่ 32 อำเภอของ จ.นครราชสีมา เพื่อหาเบาะแสและติดตามอาวุธปืนที่หายไปทั้งหมด ซึ่งเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าปืน M16 หายไปแน่นอนกว่า 70 กระบอก และบางส่วนที่สามารถตามกลับคืนมาได้แล้วกว่า 10 กระบอกนั้นเป็นการได้มาจากความผิดพลาดทางด้านบัญชีที่ตกหล่นและได้ทำการไล่ตรวจสอบอย่างละเอียด
ส่วนใหญ่อาวุธปืนที่หายไปนั้นอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งขอย้ำว่าต้องมีการจับแน่ และกรณีนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ เพราะอาวุธปืนไม่ใช่นกจะบินหายออกไปเป็นฝูงแบบนี้เป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรต้องมีผู้รับผิดชอบ และขณะนี้ผู้หลักผู้ใหญ่เอาจริงหมด โดยเฉพาะ พล.ท.ธวัช สุกปลั่ง แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ได้สั่งว่าเรื่องนี้ถือเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ถือเป็นนโยบายสำคัญ เช่นเดียวกับ นายธงชัย ลืออดุลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ย้ำว่าให้ดำเนินการให้ถึงที่สุด ถึงไหนถึงนั่นไม่มียั้ง เรื่องนี้เป็นเรื่องความมั่นคงไม่ใช่เรื่องมาล้อเล่น
พล.ต.ต.ปกรณ์กล่าวต่อว่า สำหรับรูปแบบการขโมยออกไปนั้น จากการสอบสวนเบื้องต้นไม่พบร่องรอยงัดแงะเพราะประตูเปิดได้ มีคนถือกุญแจ แล้วถามว่าหายไปได้อย่างไร และคนถือกุญแจไม่ใช่คนเดียวมีการผลัดเปลี่ยนเวรกัน แต่มีกุญแจชุดเดียว ลักษณะการหายน่าจะเป็นการทยอยนำออกไป ตอนนี้เราทราบตัวผู้รับผิดชอบแล้ว ต้องจับแน่นอน และมีประจักษ์พยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ในวันที่นำปืนออกไปด้วย
“ขอย้ำว่าผมจับแน่นอน ใหญ่แค่ไหนก็จับ ผมไม่กลัวอยู่แล้วเพราะเป็นเรื่องความมั่นคง” พล.ต.ต.ปกรณ์กล่าว
พล.ต.ต.ปกรณ์กล่าวอีกว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้ร่วมประชุมกับแม่ทัพภาคที่ 2 และผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเกี่ยวกับกรณีนี้ ซึ่งมีการเสนอให้ อส.ทุกนายนำปืนกลับมาคืนเพื่อจะได้ทำการตรวจสอบ แต่เมื่อตรวจสอบแล้วก็มีส่วนหนึ่งผิดพลาดทางบัญชี ซึ่งตอนนี้การตรวจสอบทางบัญชีใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือแต่ปืนที่หายไป และปืนที่หายไปต้องมีผู้รับผิดชอบ
ส่วนการเตรียมออกหมายจับนั้นขอไม่เปิดเผยข้อมูล ตอนนี้ยังไม่มีการออกหมายจับใครทั้งสิ้น แต่ขอย้ำว่าจับแน่จะจำนวนกี่รายยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งขณะนี้การสอบปากคำไปหลายสิบปาก ที่ผ่านมาพยายามหาประจักษ์พยานซึ่งตอนนี้ได้ตัวมาแล้ว ขอบอกว่าคดีที่ตนทำไม่มีมวยล้มต้มคนดู และไม่มีจับแพะเด็ดขาด ตั้งแต่รับราชการมาไม่เคยจับแพะ ไม่เคยมีสมยอม และไม่มีกลั่นแกล้งใคร ซึ่งคาดว่าจะมีการออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการขโมยปืนล็อตแรกในเร็วๆ นี้ ขอให้ปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่ก่อน ขอเวลาให้ตำรวจทำงานเพราะตนเองไม่ได้ทำงานแบบให้จบๆ ไปเท่านั้น ถ้าทำแล้วให้เป็นรูปธรรม
พล.ต.ต.ปกรณ์กล่าวอีกว่า คดีนี้ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายโดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และคดีนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนมาก ประสานขอข้อมูลไปก็ได้มาทั้งหมด แต่เชื่อว่ามีการกระทำกันเป็นขบวนการเพราะปืนหายไปจำนวนมาก ยามรักษาการณ์คนเดียวจะเอาออกไปได้อย่างไรครั้งละ 10 กระบอก
ส่วนปืนที่หายไปนั้นไม่ทราบว่านำไปใช้เพื่อการใด แต่เชื่อว่าทุกคนคงทราบดีเพราะช่วงนั้นสถานการณ์ทางการเมืองไม่ปกติ มีความขัดแย้งทางการเมืองสูงในช่วงปีที่หายไป ซึ่งในเรื่องนี้ทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ได้สั่งกำชับให้เร่งดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สิ่งสำคัญคือจะต้องตามปืนกลับมาให้ได้เพราะถือเป็นเรื่องอันตราย อย่าลืมว่าหากมีสถานการณ์เหมือนช่วงที่มีความขัดแย้งทางการเมือง ปืนกว่า 70 กระบอกเท่ากับเป็นกองกำลังใหญ่เลยทีเดียว
ส่วนปืนยังอยู่ในพื้นที่ จ.นครราชสีมาทั้งหมดหรือไม่นั้นยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนอยู่ระหว่างการหาข่าวของเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน และจากการตรวจสอบจากกองพิสูจน์หลักฐาน ล่าสุดยังไม่พบมีการนำอาวุธปืนที่หายไปมาใช้ในการก่อเหตุอาชญากรรมใดๆ พล.ต.ต.ปกรณ์กล่าวในตอนท้าย