ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ลูกศิษย์ใกล้ชิดรุ่นบุกเบิกเผย “หลวงพ่อคูณ” ไล่ “พระนุช” รักษาการเจ้าอาวาสออกจากวัดบ้านไร่พร้อมเงิน 30 ล้านบาท และวัตถุมงคล 1 รถสิบล้อ หลังงานฝังลูกนิมิตสร้างพระอุโบสถ 2 ชั้น พร้อมลั่นวาจา “กูกับไอ้นุชแยกแผ่นดินกันอยู่” ชี้ “หลวงพ่อคูณ” เป็นพระผู้ให้ มีเงินเท่าไหร่บริจาคหมดไม่เก็บสะสมไว้ ถามหาชุดโต๊ะมุกขนาดใหญ่วัดบ้านไร่หายไปไหน รวมทั้งค่าอนุญาตสร้างวัตถุมงคลใบละ 2 ล้านบาท เข้าวัดหรือไม่
วันนี้ (21 พ.ค.) ลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ รุ่นบุกเบิกก่อสร้างพัฒนาวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ตนเป็นลูกศิษย์ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อคูณมาตั้งแต่สมัยยุคเริ่มแรก หลังจากหลวงพ่อย้ายจากวัดสระแก้ว อ.เมือง จ.นครราชสีมา มาอยู่ที่วัดบ้านไร่ และตนได้มารู้จักกับ “พระนุช” พระภาวนาประชานารถ (นุช รตนวิชโย) ซึ่งขณะนั้นยังไม่บวชเป็นพระ
รวมทั้ง “กำนันป่อง” นายธวัฒน์ชัย แสนประสิทธิ์ กำนันตำบลกุดพิมาน คนปัจจุบัน ซึ่งอดีตเคยทำงานอยู่โรงงานปั๊มพระเครื่อง และเป็นคนขายลอตเตอรี่ในวัดบ้านไร่ แต่โชคดีขายลอตเตอรี่ไม่หมดจึงถูกรางวัลที่ 1 ทำให้มีเงินไปลงสมัครรับเลือกตั้งจนได้รับเลือกตั้งเป็นกำนันมาจนปัจจุบัน ส่วนพระนุช ก็เคยทำงานอยู่ในโรงงานปั๊มพระมาก่อน จึงรู้จักและสนิทสนมกันกับกำนันป่องเป็นอย่างดี
ฉะนั้น จึงนับได้ว่าทั้งสองได้กลับมาร่วมงานกันอีกรอบ กับการช่วงชิงได้รับแต่งตั้งมาเป็นรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ทันทีในวันเดียวกับที่หลวงพ่อคูณมรณภาพ เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมาในครั้งนี้ของพระภาวนาประชานารถ หรือ “พระนุช”
ลูกศิษย์หลวงพ่อคูณรุ่นบุกเบิกกล่าวต่อว่า ในสมัยแรกเริ่มนั้นลูกศิษย์ที่มารับใช้หลวงพ่อคูณที่วัดบ้านไร่มีไม่มากนัก เมื่อตนเข้ามาก็ทราบว่าบัญชีการรับบริจาคและเงินทำบุญของวัดทั้งหมดหลวงพ่อเป็นผู้ดูแลโดยนำเงินเข้ากองกลางวัดบ้านไร่ ต่อมาพระนุชขอแยกบัญชีรายได้จากวัตถุมงคลออกไปต่างหากและขอเป็นผู้ดูแลจัดการเองทั้งหมด ซึ่งตนเห็นว่าไม่ถูกต้องเพราะเงินทุกอย่างเป็นของหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ ต้องนำมารวมเป็นบัญชีเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงนั้นมีประชาชนเลื่อมใสศรัทธามาเช่าวัตถุมงคลเป็นจำนวนมาก มีรายได้ค่าเช่าเฉลี่ยสัปดาห์ละ 5-6 ล้านบาท
ส่วนเงินบริจาคของหลวงพ่อ จะมีเจ้าหน้าที่ธนาคารมานับเงินและฝากเข้าบัญชีที่วัดบ้านไร่แบบวันต่อวัน ช่วงนั้นจำได้ว่ามี 2 ธนาคาร คือ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่มีรายได้เข้าวัดบ้านไร่เป็นจำนวนมหาศาล เฉพาะเงินบริจาคทำบุญไม่ต่ำกว่าวันละหลายแสนบาทถึง 1 ล้านบาท ซึ่งนำมากองจนเต็มห้องกุฏิหลวงพ่อคูณเพื่อร่วมกันนับทุกวัน ขณะนั้นหลวงพ่อคูณจะมีเงินเข้าออกไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท
สำหรับหลวงพ่อคูณกับพระนุชนั้น ในช่วงที่ตนเข้ามาทราบว่าพระนุชไม่พอใจและมักพูดอยู่เป็นประจำว่า หากไม่มีพระนุชก็ไม่มีหลวงพ่อคูณในวันนี้ และมักต่อว่าหลวงพ่อคูณในเรื่องต่างๆ นานา เช่นไม่พอใจที่หลวงพ่อรับเงินถวายทำบุญจากญาติโยมเพียงครึ่งเดียว และขอแยกบัญชีเช่าวัตถุมงคลมาดูแลเองต่างหาก โดยเฉพาะในช่วงการก่อสร้างพระอุโบสถและศาลาการเปรียญวัดบ้านไร่แบบ 2 ชั้น แบบคอนกรีตเสริมเหล็ก ราวปี 2532 -2533 ที่มีเงินจากประชาชนมาทำบุญจำนวนมากและมีการทำวัตถุมงคลหลวงพ่อคูณมาใช้เช่าอย่างล้นหลาม จนกลายเป็นจุดแตกหัก ทำให้หลวงพ่อคูณตัดสินใจไล่พระนุชออกจากวัดบ้านไร่ หลังเสร็จสิ้นพิธีฝังลูกนิมิตสร้างพระอุโบสถวัดบ้านไร่ 2 ชั้นดังกล่าว
ในวันนั้น หลวงพ่อคูณได้ลั่นวาจาประกาศว่า “กูกับไอ้นุชแยกแผ่นดินกันอยู่” ก่อนไล่ออกจากวัดบ้านไร่ไป พร้อมให้นำเงินที่ได้จากงานฝังลูกนิมิตทั้งหมดกว่า 30 ล้านบาท รวมทั้งให้ขนเอาวัตถุมงคลที่พระนุชจัดทำขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วงนั้นไปทั้งหมดด้วย ซึ่งจำได้ว่าวัตถุมงคลดังกล่าวมีเป็นจำนวนมากถึงขั้นต้องนำรถบรรทุกสิบล้อมาขนออกไป และนับตั้งแต่นั้นมาพระนุชก็ไม่เคยได้กลับเข้ามาที่วัดบ้านไร่อีกเลย ทราบข่าวเพียงว่าพระนุชไปใช้เงินที่ได้จากหลวงพ่อคูณอยู่ประมาณ 3-4 ปี ก่อนไปบวชอยู่ที่วัดบ้านเกิดใน อ.คง จ.นครราชสีมา
จากนั้นตนก็ไม่ทราบข่าวอีก กระทั่งมาทราบอีกครั้งเมื่อเป็นข่าวทางสื่อมวลชนว่าเป็นเจ้าอาวาสสร้าง “โถส้วมทองคำ” ที่วัดหนองบัวทุ่ง ต.ตาจั่น อ.คง จ.นครราชสีมา และมาอยู่ประจำที่วิหารหลวงปู่โต หรือมูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ มูลนิธิหลวงพ่อโต ที่รู้จักกันในนาม “วัดสรพงศ์ ชาตรี” อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ประมาณ 3 ปี ก่อนได้เข้ามารักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ทันทีในวันที่หลวงพ่อคูณมรณภาพ
“ลักษณะนิสัยส่วนตัวพระนุช เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นพระมือเติบ ใช้เงินซื้อได้ทุกอย่าง จึงเป็นผู้ที่เข้าถึงพระผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี” ลูกศิษย์คนเดิมกล่าว
ลูกศิษย์คนเดิมกล่าวอีกว่า หลังจากพระนุชออกจากวัดบ้านไร่ไปบัญชีวัดบ้านไร่ ทุกอย่างก็มารวมอยู่ที่เดียว และหลวงพ่อคูณมีอำนาจในการเบิกจ่ายคนเดียว ในช่วงนั้นได้มีการตั้งกองทุน มูลนิธิ และนำเงินไปช่วยเหลือสาธารณประโยชน์หลายอย่าง ซึ่งเมื่อมีเงินมากพอหลวงพ่อก็มักบริจาคทำบุญ สร้างสาธารณประโยชน์โดยตลอดโดยไม่เก็บสะสมไว้เป็นจำนวนมาก แม้แต่ไม่มีเงินก็ยังบริจาค ทั้งการก่อสร้างโรงเรียน วิทยาลัย โรงพยาบาล รั้วโรงเรียน สถานที่ราชการ และแหล่งน้ำ รวมแล้วตามข้อมูลที่บันทึกวันในหนังสือรวบรวมประวัติหลวงพ่อคูณ ในโอกาสอายุปี 77 ปี 4 ต.ค. 2543 เป็นเงินกว่า 4,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อคูณท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบงานไม้มาก มีผู้มาถวายโต๊ะ เก้าอี้ ไม้ ให้หลวงพ่อที่วัดบ้านไร่เป็นจำนวนมาก รวมชุดโต๊ะมุกขนาดใหญ่ แต่ขณะนี้ไม่เห็นโต๊ะมุกชุดนั้นอยู่ในวัดบ้านไร่เลย ไม่ทราบว่าหายไปไหน ทราบเพียงว่าไปอยู่บ้านเศรษฐีคนหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ซึ่งอยากให้มีการติดตามกลับมาเป็นทรัพย์สินของวัดบ้านไร่ด้วย
“นอกจากนี้ ในช่วงบั้นปลายชีวิตของหลวงพ่อคูณนั้น ตนทราบว่าผู้ที่จะทำการสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อคูณต้องขอใบอนุญาตจากทางวัดบ้านไร่ และต้องจ่ายเงินสูงถึงใบละ 2 ล้านบาท อยากถามว่าเงินส่วนนี้เข้าวัดบ้านไร่หรือไม่และหายไปไหน เพราะมีการมาขอใบอนุญาตกันจำนวนมาก” ลูกศิษย์คนเดิมกล่าวในตอนท้าย