ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผู้ประกอบการ 101 ราย บุกโวยเมืองพัทยา หลังออกคำสั่งรื้อถอนอาคารพัทยาใต้ ระบุหากยืนยันรื้อถอนจะส่งผลกระทบการท่องเที่ยวรุนแรงในอนาคต
จากกรณีที่เมืองพัทยา ลงนามคำสั่งโดย นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา รักษาราชการแทนนายกเมืองพัทยา ออกคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ให้มีการระงับการใช้ และให้ทำการรื้อถอนอาคา รจำนวน 12 ราย บริเวณโครงการวอล์กกิ้งสตรีท พัทยาใต้ โดยระบุว่า มีการฝ่าฝืนกฎหมายโดยการก่อสร้างต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมมีคำสั่งให้ทำการรื้อถอนอาคารภายใน 45 วัน ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมานั้น
ล่าสุด นายสุชัย รวยริน อดีตนายกเมืองพัทยา 1 ในผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เดินทางเข้าพบ นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา นายอิทธิวุฒิ ฐิติวร ผู้อำนวยการสำนักการช่างเมืองพัทยา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอรับฟังแนวนโยบายดังกล่าว รวมทั้งเป็นตัวแทนของผู้ประกอบการในการชี้แจงสภาพของพื้นที่ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากมีการรื้อถอนจริง ทั้งนี้ได้ใช้เวลาการเจรจาร่วมนานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนมีผลสรุปที่จะทำหนังสือยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาเรื่องอุทธรณ์ระดับจังหวัด พร้อมรวบรวมตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบเข้าร่วมเจรจากับผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีอีกครั้งในเร็ววันนี้
นายสุชัย เปิดเผยว่า เกิดและเติบโตที่เมืองพัทยามาโดยตลอด สำหรับพื้นที่อาคาร 101 รายพัทยาใต้ ถือเป็นพื้นที่เก่าแก่ที่ชาวพัทยาพักอาศัย และทำประมงท้องถิ่น กระทั่งทหารอเมริกันมาตั้งฐานทัพ และยกพลมาเที่ยวจึงมีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม อดีตที่ผ่านมา เมืองพัทยาประสบปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมากในช่วงปี 2532-33 ซึ่งขณะนั้นมี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี และส่วนตัวเล่นการเมืองในตำแหน่งนายกเมืองพัทยาจึงมีการเชิญสถาบันวิจัย Jica จากประเทศญี่ปุ่น มาวางแผนแม่บทการฟื้นฟูบูรณะเมืองพัทยา จนเป็นที่มาของแผนการจัดทำโครงการจำนวน 9 รายการ ต่อมา ในปี 2541 ครม.จึงมีมติให้ทำการรื้อถอนอาคาร 101 รายออกจากพื้นที่โดยระบุว่า ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่เรื่องก็ยังคงไม่มีความชัดเจนในปัจจุบัน เนื่องจากผู้ประกอบการบางส่วนยังถือเอกสารสิทธิครอบครองอย่างถูกต้อง กระทั่งมีการร้องเรียนผ่านไปยังกระทรวงมหาดไทย ว่า มีการรุกล้ำก่อนที่จะมีคำสั่งให้รื้อถอนผู้ประกอบการ จำนวน 12 ราย ที่ต่อเติมอาคารเพิ่มในกลุ่มของอาคาร 101 รายเดิมในปัจจุบัน
สำหรับกรณีการรื้อถอนอาคารนั้นส่วนตัวแล้วคงไม่ขัดข้อง แต่การดำเนินการทุกอย่างของภาครัฐควรมีความชัดเจนด้านข้อมูล เรื่องของความเสมอภาคเท่าเทียม และควรมีความคิดที่รอบคอบไม่สะเปะสะปะ หรือใช้เพียงอำนาจตามกฎหมายโดยไม่ดูถึงความเป็นมาของพื้นที่ และผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวนั้นบางอาคารก็สั่งให้รื้อถอนเพียงบางส่วนขณะที่บางอาคารมีคำสั่งให้รื้อถอนออกไปเป็นจำนวนมาก
ทั้งที่อาคารส่วนใหญ่ก็ก่อสร้างมาเป็นเวลานานนับสิบปีแล้ว เรื่องนี้เฝ้าดูมานานว่าภาครัฐจะแก้ไขอย่างไร เพราะผู้ประกอบการเองก็พร้อมให้ความร่วมมือ เช่น การกำหนดเขตระยะแนวอาคาร 40 เมตร หรือการปรับภูมิทัศน์ในการจัดทำถนนอ้อมด้านหลังอาคารเพื่อสร้างความสวยงาม และป้อง กันการรุกล้ำ แต่สุดท้ายก็จะใช้เพียงอำนาจที่กฎหมายมอบให้ ขณะที่ตัวแทนของคนพัทยาที่เป็นทั้งในส่วนของข้าราชการ และนักการเมืองท้องถิ่นทั้งหลายก็เอาแต่หลบซ่อนตัวไม่เข้ามามีส่วนร่วมแก้ไข ด้วยหวั่นผลกระทบฐานเสียง และผลประโยชน์ มุ่งแต่จะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศเท่านั้น จึงถือว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
นายสุชัย กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันสภาพอาคารในส่วนของผู้ประกอบการ 101 ราย มีความชำรุดและเสื่อมโทรมอย่างมาก เมื่อมีคำสั่งเช่นนี้จึงทำให้แผนการปรับปรุงโครงสร้างให้แข็งแรงถูกยกเลิกไป ซึ่งเรื่องนี้หากปล่อยคาราคาซังไว้ก็อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวได้ ที่สำคัญหากมีการรื้อถอนจริงการท่องเที่ยวของเมืองพัทยาต้องได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงแน่นอน เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นจุดขายสำคัญอย่างมาก ขณะที่การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวก็รุนแรงขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม จากนี้ในส่วนตัวแล้วคงจะร่วมหารือกับผู้ประกอบการก่อนเร่งยื่นหนังสืออุทธรณ์คำสั่ง พร้อมนัดเจรจาร่วมกับภาครัฐเพื่อหาทางออกที่ชัดเจนต่อไป