xs
xsm
sm
md
lg

เปิดประวัติ “วัดบ้านไร่” วัดเก่าแก่ที่ “หลวงพ่อคูณ” พัฒนาขึ้นมาจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เปิดประวัติ “วัดบ้านไร่” วัดเก่าแก่วัดหนึ่งในตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ที่ “หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ” ได้พัฒนาจากสำนักสงฆ์เล็กๆ ขึ้นมาจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป โดยในแต่ละวันจะมีผู้คนจากทุกสารทิศเดินทางมานมัสการหลวงพ่อคูณ เป็นจำนวนมาก
 ขอบคุณภาพจาก http://www.khaoyaizone.com/
“วัดบ้านไร่” เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งใน ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เดิมเป็นสำนักสงฆ์เล็กๆ ที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2436 ในช่วงรัชกาลที่ 5 โดยมี พระอาจารย์เชื่อม วิรโช เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ได้มีการก่อสร้างศาสนอาคารต่างๆ ขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เป็นเจ้าอาวาสวัด ได้มีการพัฒนาวัดมากที่สุด ด้วยมีผู้ศรัทธาจากทั่วประเทศได้ร่วมถวายวัตถุปัจจัยเป็นเงินมหาศาล

โดยหลวงพ่อคุณ ได้เริ่มสร้างอุโบสถขึ้นมา โดยมีชาวบ้านช่วยกันเข้าป่าตัดไม้ ซึ่งในสมัยก่อนมีอยู่มาก การตัดไม้ในสมัยนั้นไม่ค่อยสะดวกนัก ไม่มีเครื่องจักร ไม่มีถนน กว่าจะได้ไม้ที่เลื่อยแปรสภาพสำเร็จต้องเผชิญต่อการขนย้ายที่ยากลำบาก อาศัยโคเทียมเกวียน หรือใช้แรงงานคนลากจูงบนทางที่แสนทุรกันดาร แต่หลวงพ่อคูณ ก็สามารถนำชาวบ้านช่วยกันสร้างอุโบสถจนสำเร็จ (ปัจจุบันได้รื้อลงแล้ว และก่อสร้างหลังใหม่แทน)

นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณ ยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่ออุปโภคบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย จนปัจจุบันวัดบ้านไร่ได้มีการพัฒนา และมีผู้ใฝ่บุญจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาแสวงบุญกันไม่ขาดสาย

วัดบ้านไร่ มีชื่อเสียงเนื่องจากมีหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เป็นเจ้าอาวาสกับภาพที่เห็นกันชินตา พระเกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งถือกิ่งไม้ขนาดเล็กๆ ในมือเดินเคาะศีรษะลูกศิษย์ลูกหาที่เลื่อมใสศรัทธา ไม่เว้นแม้แต่นักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ก็ต้องมาให้ท่านเคาะหัวให้เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นที่เคารพศรัทธาของคนทั้งประเทศ จึงทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป โดยในแต่ละวันจะมีผู้คนจากทุกสารทิศเดินทางมานมัสการหลวงพ่อคูณ เป็นจำนวนมาก

หลวงพ่อคูณ เป็นพระชาวบ้านที่เข้าถึงมวลชนทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน นักการเมืองไปจนถึงชาวบ้าน ด้วยท่านมีเมตตามหานิยม มีวิธีการสั่งสอนที่ตรงไปตรงมาง่ายแก่การเข้าใจ

**ข้อมูลประวัติหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

หลวงพ่อคูณ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2466 ตรงกับแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน ที่บ้านไร่ หมู่ 6 ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน คือ

1.หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
2.นางคำมั่น แจ้งแสงใส
3.นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์

มารดาคือ นางทองขาว เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี 3 นางได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงามลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและกล่าวว่า “เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างคุณงามความดีมาตลอดหลายชาติ เราขออำนวยพรให้เจ้า และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไป” และเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกสว่างให้แก่นางด้วย “ดวงมณีนี้เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดี ต่อไปภายหน้าจะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง”

**การศึกษา

เนื่องด้วยบุรพกรรม และสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณ กับน้องๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณ อยู่ในวัยเยาว์ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือกับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่ สถานการศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน มิได้มีโรงเรียนทำการสอนเช่นในสมัยปัจจุบัน นอกจากเรียนภาษาไทย และขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชาคาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย

**อุปสมบท

หลวงพ่อคูณ อุปสมบทเมื่ออายุได้ 21 ปี ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2487 (หนังสือบางแห่งว่า ปี 2486) ตรงกับวันศุกร์ เดือน 6 ปีวอก โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือ พระอาจารย์สุข วัดโคกรักษ์ หลวงพ่อคูณได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ หลังจากที่หลวงพ่อคูณ อุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา (บางตำรากล่าวว่าเมื่อบรรพชาแล้วได้เล่าเรียนกับหลวงพ่อคง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักใหญ่ก่อน แล้วหลวงพ่อคง จึงนำไปฝากกับหลวงพ่อแดง) หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระอย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คน และลูกศิษย์เป็นอย่างมาก

หลวงพ่อคูณ ตั้งใจร่ำเรียนพระธรรมวินัย ตามรอยพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ว่า... “เทว เม ภิกขเว วิชชา ภาคิยา” ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ

1.สมถะ ความสงบระงับแห่งจิตที่ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง
2.วิปัสสนา ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมเบื้องสูงอันสุขุมลุ่มลึก ในทางพุทธศาสนา และจงเดินตามหนทางนั้นเถิด

หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดง มานานพอสมควร หลวงพ่อแดง จึงพาหลวงพ่อคูณ ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้ง 2 รูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะมักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ

หลวงพ่อคง พุทธฺสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งทางธรรม และทางไสยเวทย์ และได้อบรมสั่งสอนให้แก่หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ด้วยความรักใคร่มิได้ปิดบังอำพราง โดยการให้การศึกษาพระธรรม ควบคู่กับการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน เน้นเรื่องการมี “สติ” ระลึกรู้ พิจารณาอารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบ และให้เกิดความรู้เท่าทันในอารมณ์นั้น เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ “หลง” ท่านให้พิจารณาว่า

“อนิจจัง ไม่เที่ยง
ทุกขัง เป็นความทุกข์
อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม จึงมิใช่ของเรา และของเขา”
และท่านจึงให้แนวทางพิจารณา 5 ประการ คือ
พิจารณาว่า ความเกิดเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเกิดนี้ได้
พิจารณาว่า ความแก่เป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความแก่นี้ได้
พิจารณาว่า ความเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเจ็บนี้ได้
พิจารณาว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความตายนี้ได้
พิจารณาว่า เรามีกรรมเป็นเรื่องธรรมดา เรามีกรรมเป็นของตนเอง เรากระทำความดี จักได้ดี เรากระทำความชั่ว จักได้ชั่ว”

ส่วนพระกัมฏฐานนั้น หลวงพ่อคง ได้สอนให้ใช้หมวดอนุสติ โดยดึงเอาวิธีกำหนด “ความตาย” เป็นอารมณ์ เรียกว่า “มรณัสสติ” เพื่อให้เกิดความรู้เท่าทัน ไม่หลงในในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ประมาทในความโลภ ความโกรธ และ ความหลง กำหนดลมหายใจเข้าออกทำจิตให้เกิดสัมมาสมาธิ เรียกว่า “อานาปานสติ” เวลาล่วงเลยนานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคง เห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป แรกๆ หลวงพ่อคูณก็ธุดงค์จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกออกไปไกลๆ กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศเขมร มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา และอุปทานทั้งปวง

**สู่มาตุภูมิ

หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณ จึงออกเดินทางจากประเทศเขมร สู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้านจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถ พ.ศ.๒๔๙๖ โดยชาวบ้านได้ช่วยกันเข้าป่าตัดไม้ ซึ่งในสมัยก่อนมีอยู่มาก การตัดไม้ในสมัยนั้นไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะไม่มีเครื่องจักร ไม่มีถนน กว่าจะได้ไม้ที่เลื่อยแปรสภาพสำเร็จแล้วต้องเผชิญต่อการขนย้ายที่ยากลำบาก โดยอาศัยโคเทียมเกวียนบ้าง ใช้แรงงานคนลากจูงบนทางที่แสนทุรกันดาร เนื่องจากถนนทางเกวียนนั้นเป็นดินทรายเสียส่วนใหญ่ เมื่อต้องรับน้ำหนักมากก็มักทำให้ล้อเกวียนจมลงในทราย การชักจูงไม้แต่ละเที่ยวจึงต้องใช้เวลาถึง 3-4 วัน

แต่กระนั้นหลวงพ่อก็สามารถนำชาวบ้านช่วยกันสร้างพระอุโบสถจนสำเร็จ (ปัจจุบันได้รื้อลงแล้ว และก่อสร้างหลังใหม่แทน) นอกจากสร้างพระอุโบสถแล้ว หลวงพ่อยังสร้างโรงเรียน กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ รวมทั้งขุดสระน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ยังความสะดวกสบาย และความเจริญในบ้านไร่ยิ่งนัก แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เห็นสิ่งดังกล่าว เนื่องจากหลวงพ่อได้เปลี่ยนสิ่งก่อสร้างดังกล่าวทั้งหมดมาเป็นปูนเป็นอิฐให้สวยงาม และทนทานยิ่งขึ้น

นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณ ยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่อุปโภคบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย นอกเหนือจากนั้น หลวงพ่อยังได้สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ตลอดจนบริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณสุขต่างๆ

**คำสอน

“คนเราเมื่อมีเมตตาให้กับผู้อื่น ผู้อื่นเขาก็จะให้ความเมตตาตอบสนองต่อเรา ถ้าเราโกรธเขา เขาก็จะโกรธเราตอบเช่นกัน ความเมตตานี่แหละ คือ อาวุธ ที่จะปกป้องตัวเราเองให้ไปได้ตลอดรอดฝั่งเป็นอาวุธที่ใครๆ จะนำเอาไปใช้ก็ได้ จัดว่าเป็นของดีนักแล”

**ปราชญ์แห่งที่ราบสูง

บุคคลทั่วไปหากมิได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของหลวงพ่อคูณ มักจะมีความเข้าใจว่า หลวงพ่อคูณเป็นพระที่แกร่งกล้าอาคม แต่หากได้พบ และได้สนทนาธรรมจะทราบทันทีว่า ท่านคือ “ปราชญ์แห่งที่ราบสูง” หลวงพ่อคูณ ได้สนทนาธรรมกับหลายๆ คน ต่างกรรมต่างวาระแสดงให้เห็นความเป็นปราชญ์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ทีท่าตรงไปตรงมาพูดจามึงกู แต่ภายในจิตวิญญาณของหลวงพ่อคูณ ท่านเป็นพระที่เป็นพระจริงๆ คือ มีจิตเมตตาเป็นที่ตั้ง แม้ในยามที่วัดบ้านไร่มีปัญหา หรือมีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างลูกศิษย์ หลวงพ่อคูณ ท่านได้ตัดสินใจเดินจากวัดบ้านไร่ไปอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งปรัญชาที่ว่า “เป็นธรรมดา เปรียบเสมือนต้นไม้ หากมีลูกไม้ย่อมจะเป็นที่จิกกินของสัตว์ หรือนก แม้กระทั่งคน หากแม้นเมื่อหมดลูกหมดผลก็หมดการแก่งแย่ง แต่อีกไม่นานต้นไม้นั้นก็จะออกลูกออกผลมาให้ เป็นเช่นนี้เรื่อยไป” ไม่เคยมีใครพบเห็นหลวงพ่อคูณ กราดเกรี้ยว หรือทุกขเวทนาต่อเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นภายในวัดอันเนื่องจากรายได้ที่มากมายที่ประชาชนศรัทธาในบารมีของท่าน สิ่งที่หลวงพ่อคูณ แสดงออกมาทุกครั้งในการให้สัมภาษณ์หรือสนทนาธรรม ได้แสดงให้เห็นว่า ท่านนั้นมีจิตที่แจ่มใส หมดสิ้นแล้วซึ่งกิเลส เป็น “ปราชญ์แห่งที่ราบสูง” ที่พึ่งทางธรรมอย่างแท้จริง

**สร้างวัตถุมงคล

หลวงพ่อคูณ สร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่บวชแล้ว ๗ พรรษา โดยเริ่มทำวัตถุมงคล ซึ่งเป็นตะกรุดโทน ตะกรุดทองคำ เพื่อฝังที่ใต้ท้องแขน ณ วัดบ้านไร่ ราว พ.ศ.๒๔๙๓ “ใครขอ กูก็ให้ ไม่เลือกยากดีมีจน” เป็นคำกล่าวของท่าน เนื่องจากวัตถุมงคลของหลวงพ่อได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีผู้ถามว่า หลวงพ่อแจกให้แก่คนไม่ดีเป็นโจรผู้ร้ายอย่างนี้หลวงพ่อไม่บาปหรือ “กูจะไปรู้หรือว่ามันเป็นใคร ถ้ามันเป็นโจรเมื่อมันได้รับประโยชน์จากของที่กูแจก มันคงคิดได้ว่า เป็นเพราะพระศาสนา มันจะได้เข้ามาสนใจปฏิบัติธรรม….” “ถ้ามีใจอยู่กับ “พุทโธ” ให้เป็นกลางๆ ไม่สอดส่ายไปไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง… ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใดๆ ในโลก”
 
**การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ

หลวงพ่อคูณ ได้จัดสร้างโรงพยาบาลถึง 3 หลัง ตลอดจนโรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังได้บริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณสุขต่างๆ ทุกๆ วัน แต่ละเดือนเป็นจำนวนหลายแสนบาท “หลวงพ่อเป็นคนยากจนมาโดยกำเนิด จึงอยากคิดช่วยเหลือคนอื่น การนำเงินออกไปช่วยคนอื่นก็จะมีคนบริจาคเรื่อยๆ ถ้าเก็บไว้จะทำให้ตนตาบอด ใจก็บอดอีกด้วย จึงอยากช่วยคนอื่นอยู่เรื่อยไป วันใดไม่มีคนมาขอเงิน ก็ไม่ค่อยสบายใจ”

**ข้อห้ามข้อควรปฏิบัติ

หลวงพ่อคูณ สั่งว่า เมื่อมีพระเครื่องของหลวงพ่อคูณติดตัวให้ภาวนา “พุทโธ” ทำจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ ละเว้นถ้อยคำด่าทอ ด่าพ่อแม่ตน และพ่อแม่บุคคลอื่น และอย่าผิดสามี หรือภรรยาผู้อื่น ให้สวยมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืนไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และหวงพ่อคูณย้ำว่า “ถ้ามีใจอยู่กับ พุทโธ ให้เป็นกลางๆ ไม่สอดส่ายไปที่ไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง...ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใดๆ ในโลก”

คาถาที่หลวงพ่อคูณใช้บริกรรมเวลานั่งสมาธิ
เวลาหายใจเข้า ให้บริกรรมว่า ตาย
เวลาหายใจออก ให้บริกรรมว่า แน่
เป็นตายแน่... ตายแน่... ตายแน่ไปเรื่อยๆ จะรู้สึกสบาย จิตสงบ
 ขอบคุณภาพจาก http://www.khaoyaizone.com/
 ขอบคุณภาพจาก http://www.khaoyaizone.com/
 ขอบคุณภาพจาก http://www.khaoyaizone.com/

กำลังโหลดความคิดเห็น