ศูนย์ข่าวศรีราชา - นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ชี้การสร้างโรงไฟฟ้าขยะทุกจังหวัดทั่วประเทศ หวังแก้ปัญหาขยะล้นเมือง หากไม่คิดให้รอบคอบอาจก่อผลกระทบด้านสุขภาพ หรือปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อมต่อประชาชนโดยรอบ
นายสนธิ คชวัฒน์ เลขาธิการสมาคมอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย เผยว่า ขณะนี้เรื่อง “waste to energy” หรือสร้างเตาเผาขยะชุมชนเพื่อผลิตไฟฟ้า เป็นเรื่องที่ผู้บริหารในประเทศไทยกำลังเร่งดำเนินการให้เกิดโดยเร็ว ครอบคลุมทุกจังหวัด เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาขยะล้นเมือง อย่างไรก็ตาม การคิดที่ไม่รอบคอบ ไม่อิงข้อมูลทางวิชาการให้รอบด้านอาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสุขภาพ หรือเกิดปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อมต่อประชาชนโดยรอบได้
โดยยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลพยายามเร่งดำเนินการคือ การผลิตพลังงานจากการเผาขยะ โดยแบ่งเตาเผาขยะเป็น 3 ขนาด คือ เตาเผาขนาดใหญ่ ซึ่งมีขยะมากกว่า 300 ตันต่อวัน ในพื้นที่นำร่องคือ นนทบุรี ภูเก็ต เทศบาลนครหาดใหญ่ เทศบาลเมืองสงขลา กรุงเทพฯ และเชียงราย เตาเผาขนาดกลางซึ่งมีขยะ 50-300 ตันต่อวัน ในพื้นที่เทศบาลเมืองน่าน เทศบาลตำบลเมืองแกลง จ.ระยอง และเตาเผาขนาดเล็ก ซึ่งมีขยะน้อยกว่า 50 ตันต่อวัน ในพื้นที่เทศบาลตำบลท่าวังผา จ.น่าน เทศบาลเมืองสีคิ้ว เทศบาลตำบลโนนแดง จ.นครราชสีมา เทศบาลตำบลครึ่ง จ.เชียงราย เทศบาลตำบลลำปลายมาศ เทศบาลตำบลอิสาณ จ.บุรีรัมย์ รวมทั้งส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำจัดขยะโดยวิธีการเผา และผลิตไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม การสร้างเตาเผาขยะเพื่อให้ได้พลังงานไฟฟ้ามีสิ่งที่ต้องพึงระวังในหลายส่วน อาจต้องมาทบทวนว่า โรงไฟฟ้าจากขยะที่เร่งจะดำเนินการก่อสร้างกันทุกวันนี้ควรจะต้องผ่านการกระบวนการกลั่นกรองทางสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ ทั้งสถานที่ตั้ง เทคโนโลยีที่เหมาะสม การยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ และมาตรการลดผลกระทบหรือไม่ ดีกว่าจะปล่อยให้องค์การปกครองท้องถิ่น และจังหวัดไปควานหาเอกชนมาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะโดยปราศจากวิชาการที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก
งานวิจัยจากองค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา( US.EPA) ในปี ค.ศ.2012 ระบุว่า แม้โรงไฟฟ้าถ่านหินปล่อยมลพิษทางอากาศมาก และเป็นอันตรายที่สุดจากแหล่งกำเนิดพลังงานต่างๆ แล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันโรงไฟฟ้าจากขยะกลับปล่อยมลพิษทางอากาศมากกว่าอีก จากการวิจัยพบว่า โรงไฟฟ้าจากขยะปล่อยมวลสารสู่อากาศเป็นจำนวนมากคือ
1.มีปริมาณสารไดออกซิน (Dioxin) ปริมาณ 28 เท่า/ยูนิต ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2.มีสารปรอท (Mercury) ปริมาณ 6.4เท่า/ยูนิต ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน (ถึงแม้ว่าโรงไฟฟ้าขยะจะสามารถกำจัดปรอทได้ถึงร้อยละ 96 แล้วก็ตาม) ขณะที่รัฐนิวยอร์ก ปี 2009 โรงไฟฟ้าขยะจำนวน 10 แห่ง ปล่อยสารปรอทออกมาในปริมาณ 14 เท่า/ยูนิต ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน 3.มีสารตะกั่ว (Lead) ปริมาณ 6 เท่า/ยูนิต ของ รงไฟฟ้าถ่านหิน 4.มีก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ปริมาณ 3 เท่า/ยูนิต ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน 5.มีก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ปริมาณ 2 เท่า/ยูนิต ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน
นอกจากนี้ วารสารสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกาเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2012 ได้เสนอข้อมูลที่น่ารับฟังอย่างมากเกี่ยวกับ Incinerators : Myths vs. Facts about “Waste to Energy” ดังนี้ คือ
ประเทศสหรัฐอเมริกา มีโรงงานเผาขยะ 113 แห่งเ ป็นโรงเผาขยะที่ผลิตไฟฟ้าได้ 86 แห่ง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1997เป็นต้นมา ไม่มีการก่อสร้างเตาเผาขยะมูลฝอยอีกเลย เนื่องจากประชาชนคัดค้านจำนวนมาก มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนสูง ราคาก่อสร้าง และดำเนินการค่อนข้างสูง และมีการเพิ่มปริมาณสารแขวนลอยในอากาศจำนวนมาก ที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์กำจัดมลพิษทางอากาศของโรงไฟฟ้าขยะก่อนปล่อยสู่บรรยากาศที่ทันสมัยที่สุด เช่น air filters capture และscrubbers ไม่สามารถป้องกันการปล่อยสาร Ultra-fine particles (สารแขวนลอยที่มีขนาดเล็กกว่า 10 และ 2.5 ไมครอน) Ultra-fine particles คือ อานุภาคที่ปล่อยออกมาจากการเผาไหม้ขยะ
ซึ่งรวมทั้งสาร PCBs, dioxins และ furans (สารก่อมะเร็งจากเผาไหม้ขยะที่มีส่วนประกอบของพลาสติก) ด้วย โดย Ultra-fine particles จะมีขนาดเล็กกว่าขนาดมาตรฐานที่ประเทศสหรัฐอเมริกากำหนด และทำการตรวจวัดถือว่าเป็นสารแขวนลอยในอากาศ (airborne particulates) ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อาศัยใกล้เคียง โดยเฉพาะเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งในระบบทางเดินหายใจ การเกิดหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคหอบ หืด ภูมิแพ้ และโรคเกี่ยวกับเลือด เป็นต้น
นายสนธิ ยังกล่าวต่อไปว่า ในประเทศแถบประเทศสแกนดินีเวีย เช่น ประเทศเดนมาร์ก สวีเดน มีการสร้างโรงเผาขยะ และผลิตไอน้ำจำนวนมากเพราะมีพื้นที่ขนาดเล็ก และมีอากาศหนาว แต่ปริมาณขยะร้อยละ 20-30 จะถูกแยกออกมาก่อนเข้าเตาเผา เช่น พลาสติก ขวดน้ำ เป็นต้น ขณะที่ประเทศสวีเดน เริ่มมีโครงการคัดแยกขยะ และโครงการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ตั้งแต่ปี ค.ศ.1941 ประเทศสวีเดน มีโรงคัดแยกขยะที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ก่อนนำขยะเข้าเตาเผาจะมีการคัดแยกพลาสติก แก้ว โลหะ และขยะพิษ เป็นต้น ออกมาก่อน ประเทศสวีเดน นำเข้าขยะจากประเทศอื่นๆ ในยุโรปประมาณ 800,000 ตันต่อปี (ใช้ปริมาณขยะเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 2.0 ล้านตันต่อปี) เพื่อเป็นเชื้อเพลิงสำหรับโรงไฟฟ้าขยะ โดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อเผาขยะแล้วพบว่า ขี้เถ้ามีโลหะหนักเจือปนเกินมาตรฐานที่ประเทศสวีเดนกำหนด จะต้องส่งขี้เถ้านั้นกลับไปยังประเทศที่ส่งขยะเข้ามา สวีเดน จะไม่นำขี้เถ้าดังกล่าวฝังกลบในประเทศตนเด็ดขาด
“คำถามคือ ประเทศไทยได้คำนึงถึงมาตรการป้องกัน และลดมลพิษที่จะตามมากับโรงไฟฟ้าขยะมากน้อยแค่ไหน”