เพชรบุรี - กองปราบพา “เสี่ยบิ๊ก” ชี้ที่เกิดเหตุถูกขู่เอาเงิน 177 ล้าน พนักงานสอบสวนมั่นใจพยานหลักฐาน เหตุไม่ลังเลตั้งแต่ต้นจนจบ เตรียมออกหมายจับหลังสงกรานต์นี้ เผยเป็นอดีตผู้บริหารโรงเรียนใน อ.ท่ายาง
ตำรวจกองปราบปราม นำโดย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม พร้อมชุดสืบสวนสอบสวน นำ นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือเสี่ยบิ๊ก อายุ 40 ปี นักธุรกิจพันล้าน เจ้าของบริษัท สัญญา ประกันภัยจำกัด (มหาชน) และเป็นประธานสโมสรฟุตบอลอินทรีย์เพื่อนตำรวจ ทีมดังในลีกดิวิชัน 1 ของไทย และยังเป็นผู้ถือหุ้นสโมสรฟุตบอลเรดดิ้ง แห่งศึกแชมป์เปี้ยนชิพ ประเทศอังกฤษ เข้าชี้จุดเกิดเหตุบริเวณห้องพักในบึงปรีดา รีสอร์ท หมู่ 7 ต.ท่าแลง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เย็นวานนี้(10 เม.ย.)
หลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์นำตัวมาข่มขู่เรียกเงิน 177 ล้านบาท บริเวณห้องพักภายในรีสอร์ต ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ตได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งการตรวจสอบรายชื่อผู้ที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งเบื้องต้นไม่พบว่า ในวันที่ 12 ม.ค. ได้มีกลุ่มบุคคลที่ถูกนายสัมฤทธิ์ ระบุว่าเป็นผู้ข่มขู่มาพักแต่อย่างใด
แต่นายสัมฤทธิ์ ได้พาเจ้าหน้าที่ไปยังบ้านพักที่อยู่ห่างออกไปจากบ้านพักปกติ ที่เรียกว่าบึงบน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ตบอกว่า บริเวณบึงบนเดิมใช้เป็นสถานที่เข้าค่ายลูกเสือ แต่ปัจจุบันปิดกิจการ แต่จะเปิดบ้านพักให้เฉพาะลูกค้าที่สนิทกับผู้บริหาร หรือลูกค้าประจำเท่านั้น โดยมีพนักงานชาวพม่าดูแลอยู่ 2 คน และได้พาไปดูสถานที่ที่ถูกระบุว่า ใช้เป็นสถานที่พูดคุยข่มขู่เรียกเงิน
ต่อมา ร.ท.ปรีดา หวานใจ เจ้าของบึงปรีดา รีสอร์ท ได้เดินทางมาดูเหตุการณ์ พร้อมให้ความร่วมมือทุกด้าน และยืนยันว่า สถานที่ดังกล่าวไม่ได้เปิดเป็นค่ายลูกเสือมานานแล้ว ส่วนบ้านพักที่มีอยู่ไม่กี่หลังจะเปิดให้แขกผู้ใหญ่ หรือผู้ที่สนิทสนม แต่ไม่ได้บ่อยนัก และมีบ้างครั้งที่เปิดให้ผู้ที่มาใช้บริการบริเวณด้านนอกหากสถานที่พักเต็ม แต่จะเป็นลูกค้าที่มาใช้บริการประจำเท่านั้น
นายสัมฤทธิ์ ได้พาเจ้าหน้าที่ชี้จุดที่ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ข่มขู่ โดยระบุว่า วันที่ 12 ม.ค.58 เวลาประมาณ 12.00 น. หลังจากได้รับโทรศัพท์ข่มขู่ให้เดินทางมาตกลงบางอย่างที่เกี่ยวข้องต่อคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคคลากรทางการศึกษา หรือ สกสค. ที่ตนได้ทำธุรกิจร่วมหุ้นอยู่ที่ค่ายลูกเสือดังกล่าว ซึ่งตนจะไม่มาก็ได้เนื่องจากไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็ตัดสินใจมาเนื่องจากต้องการรู้ว่าบุคคลที่โทรศัพท์เป็นใคร
หลังเดินทางมาโดยกลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นคนพามาถึงค่ายลูกเสือเก่า กลุ่มชายฉกรรจ์ได้ให้จอดรถยนต์ไว้ตรงจุดห่างจากบ้านพัก และไม่อนุญาตให้ผู้ติดตามเข้าไปด้วย ระหว่างทางมีชายฉกรรจ์รวมแล้ว 9 คน ยืนคุมเชิงไว้ในแต่ละจุด เท่าที่เห็นมี 4 คน ที่พกปืนสั้นมาด้วย และตนถูกนำตัวไปยังบ้านพักหลังแรกเพื่อให้ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดไว้ที่นั่น แล้วนุ่งผ้าเช็ดตัวสีขาวเพียงผืนเดียว เพื่อป้องกันการติดเครื่องดักฟัง จากนั้นก็ถูกพาไปยังบ้านพักอีกหลังที่อยู่ใกล้กัน แล้วก็เข้าไปพูดคุยกับบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่โทรศัพท์ไป พบว่าเป็นอดีตผู้บริหาร สกสค.
โดยชายคนดังกล่าวมีข้อเสนอให้ 3 ข้อ คือ 1.ขอให้ตนช่วยล้มล้างบอร์ด สกสค.ชุดปัจจุบัน 2.หากล้มล้างบอร์ดปัจจุบันได้แล้ว ให้ทางอดีตบอร์ดคนดังกล่าว และทีมงานเข้ามาดำเนินการแทน เพื่อแลกต่อการสนับสนุนเงินของกองทุน ซึ่งถูกระบุว่า มีมากกว่า 1,000 ล้านบาท และขอให้จ่ายเงินค่าคอมมิชชัน 30% และ 3.ให้นำเงิน 177 ล้านบาท มาให้ โดยงวดแรก 77 ล้านบาท
ตนเกรงว่าอาจจะไม่ได้รับความปลอดภัยจึงยอมรับข้อเสนอ และบอกว่าขอไปคิดอยู่ก่อน ซึ่งก็มีการพูดคุยในหลายเรื่อง ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง อดีตผู้บริหารจึงปล่อยตัวกลับ หลังเดินทางกลับกรุงเทพฯ อดีตผู้บริหารคนดังกล่าวได้โทรศัพท์ทวงเงิน 77 ล้านบาทตามที่ระบุไว้ แต่ตนปฏิเสธที่จะมอบให้ จากนั้นจึงข่มขู่จะทำร้ายไม่รับรองความปลอดภัยในชีวิต และขู่จะนำระเบิดไปวางที่บ้านพัก และที่ทำงาน ทำให้ตนรู้สึกหวาดกลัว จึงได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สน.วังทองหลาง และร้องขอความเป็นธรรมต่อตำรวจกองปราบปราม
ด้าน พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า ผู้เสียหายชี้จุดสถานที่เกิดเหตุได้อย่างถูกต้องชัดเจน โดยไม่มีการลังเลเป็นลำดับขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มไปจนถึงห้องที่ใช้พูดคุยตกลงกัน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทางพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้แล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการรวบรวมพยานหลักฐาน ตรวจสอบข้อเท็จจริง จากนี้จะเรียกพยานที่เกี่ยวข้องมาสอบสวนเพิ่มเติม มื่อพยานหลักฐานมีน้ำหนักพอสมควรแล้ว จะขอหมายศาลออกหมายจับทันที คาดว่าจะเป็นเป็นช่วงหลังสงกรานต์ ซึ่งทางตำรวจได้ติดตามประกบผู้ต้องหาไว้แล้ว เบื้องต้น จะถูกแจ้งข้อหากรรโชกทรัพย์ และกักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้เสียอิสรภาพ
สำหรับ นายสัมฤทธิ์ นั้น สาเหตุที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับ สกสค. สืบเนื่องจากประมาณปี 2556 นายสัมฤทธิ์ ได้ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในนามบริษัท บิลเลี่ยน โนเวเท็ต กรุ๊ป จำกัด ใน อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี พื้นที่ 1,200 ไร่ งบประมาณ 6,500 ล้านบาท ต่อมา ทาง สกสค.ได้ขอเข้าร่วมในโครงการด้วยโดยนำเงินมาร่วมลงทุน 2,100 ล้านบาท แต่ภายหลังอดีตผู้บริหาร สกสค.ที่ถูกระบุถึงแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กล่าวหา นายสัมฤทธิ์ ว่ากระทำการเข้าข่ายสนับสนุนข้าราชการโดยไม่ชอบ และมีการกู้ยืมเงินกองทุน สกสค.ผิดวัตถุประสงค์
ซึ่ง นายสัมฤทธิ์ ระบุว่า ทาง สกสค.ได้นำเงินมาร่วมลงทุนเอง รายได้จากการลงทุนก็เป็นไปตามที่กำหนด ไม่ได้มีการทุจริตแต่อย่างใด หลังจากเข้าแจ้งความแล้ว ต่อมาทางชุดบริหารดังกล่าวได้ถูกให้ออกทั้งหมด และมีชุดบริหารชุดใหม่เข้ามาแทน ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาใดๆ จนมาถูกข่มขู่เรียกเงินจากอดีตผู้บริหารคนดังกล่าว ซึ่งทางพนักงานสอบสวนพบว่า เคยเป็นอดีตผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ที่ ร.ร.วัดเขื่อนเพชร อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อนายบุญส่ง สุขโขทัย และเป็นคนเดียวกันที่ถูก นายสัมฤทธิ์ ระบุว่า เป็นคนที่คุยกับตนเองที่บ้านพักในรีสอร์ต