พะเยา - คุณปู่จิตอาสาโรงพยาบาลพะเยา วัย 76 ปี ตั้งแท่นทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณเด็กที่เสียชีวิตในท้องแม่ หรือแม่ท้องไม่พร้อม-ร่างกายไม่สมบูรณ์ ฯลฯ กว่า 40 ศพ ให้ไปสู่สุคติ-ไปผุดไปเกิด ปลดเปลื้องเวรกรรมที่มีต่อพ่อ-แม่ เผยทำมาต่อเนื่องถึง 8 ปีแล้ว ปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30-40 ศพ เชื่อกุศลแรง
วันนี้ (8 เม.ย.) นายชาญณรงค์ หรือ ปู่หล่น พูนวิริยาภรณ์ อายุ 76 ปี จิตอาสาโรงพยาบาลจังหวัดพะเยา ได้นำเครื่องเซ่นไหว้ ซึ่งประกอบด้วยข้าวปลาอาหาร ผลไม้ นมกล่อง และน้ำดื่ม เพื่อขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ภายใน รวมถึงข้างๆ ห้องเก็บศพ และภายในบริเวณโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.พะเยา เพื่อนำศพเด็กทารกที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์ หรือเสียชีวิตในครรภ์มารดา และแม่ที่ท้องไม่พร้อม มากกว่า 40 ศพออกไปประกอบพิธีทางศาสนา ปลดปล่อยดวงวิญญาณ ที่เชื่อว่ายังคงสิงสถิตอยู่ในร่าง หรือภายในโรงพยาบาลแห่งนี้ ไม่ให้เป็นเวรเป็นกรรมกับพ่อแม่ของเด็กที่เสียชีวิตทั้งหมดอีกต่อไป
ปู่หล่นกล่าวว่า ตนทำงานเป็นจิตอาสาของโรงพยาบาลพะเยามานานตั้งแต่ปี 2536 รวมก็กว่า 22 ปีแล้ว การนำเด็กที่เสียชีวิตในครรภ์มารดาด้วยหลายสาเหตุ เช่น เสียชีวิตในครรภ์ แพทย์สั่งให้เอาออกเนื่องจากความผิดปกติไม่สมบูรณ์ของร่างกาย หรือท้องไม่พร้อมที่แม่รู้เท่าไม่ถึงการณ์กินยาขับเองบ้าง ฯลฯ ไปประกอบพิธีทางศาสนาก็หมายถึงการปลดปล่อยดวงวิญญาณของเด็กเหล่านี้ ซึ่งตนเชื่อว่าดวงวิญญาณเด็กเหล่านั้นยังคงสิงสถิตอยู่ในร่าง หรือในบริเวณโรงพยาบาลแห่งนี้ ไม่ไปผุดไปเกิดได้
แต่ในการดำเนินการก็ต้องมีการขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในโรงพยาบาลก่อน เช่น ศาลเจ้าพ่อเซี้ยงเมี้ยง รวมถึงศาลพระภูมิในบริเวณนี้ เพราะหากไม่ขออนุญาตแล้วก็จะไม่สามารถพาดวงวิญญาณไปประกอบพิธีให้สำเร็จได้
จากนั้นเมื่อถึงเวลาตามฤกษ์ยามแล้วก็จะนำศพเด็กทารกกว่า 40 ศพบรรจุใส่รวมกันในโลงศพที่เตรียมไว้ ก่อนจะนำขึ้นรถเพื่อไปประกอบพิธีทางศาสนา ซึ่งประกอบด้วยพิธีสงฆ์ และการฌาปนกิจศพทั้งหมดรวมกัน เพื่อเป็นการส่งวิญญาณขึ้นสรวงสวรรค์ไป หรือไปผุดไปเกิดตามเชื่อของชาวพุทธต่อไป
ปู่หล่นเปิดเผยว่า เมื่อราว 9 ปีก่อนตนเคยทำพิธีล้างป่าช้า ในช่วงเดือน 12 เป็ง หรือวันเพ็ญเดือน 10 เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณ รวมทั้งหมด 9 ป่าช้า ต่อมามีครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือบอกให้มาทำพิธีให้กับเด็กที่เสียชีวิตจากการแท้ง หรือเสียชีวิตในครรภ์ดีกว่า ซึ่งจะได้กุศลแรงกล้า และที่ผ่านมาไม่มีคนนำศพเด็กไปทำพิธีเลย ซึ่งทางพุทธศาสนาเชื่อว่าชีวิตคนนั้นมีวิญญาณสิงสถิตอยู่ทุกร่าง และเมื่อมีวิญญาณแล้วเราก็ต้องทำบุญให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นให้ไปสู่สุคติทุกดวง เพื่อไม่ให้เป็นเวรเป็นกรรมต่อบิดามารดาของเขาเอง
โดยเมื่อตนเองเห็นศพเด็กจำนวนมากถูกเก็บไว้ในห้องเย็นก็เกิดความสงสารอย่างจับใจ จึงได้เริ่มทำพิธีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันราว 8 ปีแล้ว ในแต่ละปีก็ทำพิธีประมาณ 2-3 ครั้ง ในแต่ละครั้งก็มีศพเด็กทารกราว 30-40 ศพ แล้วแต่ปริมาณเด็กที่เสียชีวิต
สำหรับวันที่ทำพิธี ก็จะเป็นช่วงหลังออกพรรษา หรือแรม 1 ค่ำ ซึ่งชาวพุทธเชื่อว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จจากดาวดึงส์ลงมาโปรดสัตว์ยังโลกมนุษย์ ถือว่าเป็นวันดี จึงถือเอาวันนี้เป็นวันประกอบพิธี ส่วนเงินที่นำมาใช้ในการประกอบพิธีทั้งหมดก็จะมีผู้ที่มีจิตศรัทธามากมายในจังหวัดพะเยา ทั้งประชาชนทั่วไป พ่อค้า แม่ค้าในตลาดเมืองพะเยา รวมไปถึงข้าราชการได้ร่วมใจกันบริจาคเงิน สิ่งของ เพื่อร่วมกันทำบุญทุกครั้งเรื่อยมา
“ผมแทบไม่ได้ออกเงินเลยในการทำพิธีแม้แต่บาทเดียว ส่วนเงินที่เหลือก็จะนำไปถวายวัดจนหมดทุกครั้ง เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญาณทารกทั้งหมด”
ปู่หล่นยังบอกด้วยว่า การทำบังสุกุลด้วยผ้าสบงจะไม่เหมือนกับทำด้วยผ้าไตรจีวร ซึ่งถือว่าเป็นมหาบังสุกุล เป็นการทำบุญที่ได้กุศลครั้งยิ่งใหญ่ ทุกฝ่ายจะดีหมด หมายถึง ฝ่ายที่เราทำบุญให้ คือดวงวิญญาณทารกทั้งหมด กับผู้ที่ร่วมทำบุญ ก็จะอยู่ดีมีสุขตลอดไป
ปู่หล่นเล่าว่า ครั้งหนึ่งตนประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชนขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ ร่างกระเด็นลอยกระแทกพื้นอย่างแรงแต่กลับไม่เป็นอะไรมาก บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อมามีร่างทรงทักบอกว่ามีดวงวิญาณเด็กจำนวนมากมารับร่างของตนไว้จึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต และเมื่อราว 2 ปีก่อนตนล้มป่วยเจ็บหนักด้วยโรคลำไส้ แพทย์ต้องตัดลำไส้ยาวเกือบ 1 เมตรทิ้ง ร่างทรงก็มาทักอีกว่ามีดวงวิญาณเด็กมาเฝ้าอยู่รายรอบเตียงที่ตนเองนอนอยู่ เสมือนว่ามาป้องกันไม่ให้ใครมาเอาดวงวิญญาณตนไปจากร่าง หลายเหตุการณ์ทำให้ตนเองเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทำให้ตนเองรอดตายมาหลายครั้งก็เพราะเป็นบุญกุศลที่ได้ทำให้กับดวงวิญญาณเด็กทารกตลอดมากว่า 8 ปีนั่นเอง
“ยืนยันว่าจะทำไปจนกว่าจะหมดแรง หรือจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต”
ปู่หล่นได้ฝากถึงคนทั่วไปให้ร่วมกันทำบุญกันมากๆ เพราะการทำบุญเป็นการชำระจิตสะสางใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ขอให้เราละเว้น รัก โลภ โกรธ หลง ชีวิตตนเองรวมไปถึงเพื่อนมนุษย์ก็จะเป็นสุขไปด้วย
สำหรับนายชาญณรงค์ หรือปู่หล่น พูนวิริยาภรณ์ เกิดที่ อ.เมือง จ.เชียงราย ช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2482 ได้อพยพไปอยู่ จ.แพร่ ต่อมา พ.ศ. 2495 ย้ายมาอยู่ที่ อ.พะเยา จ.เชียงราย จน อ.พะเยายกฐานะเป็น จ.พะเยาถึงปัจจุบัน และได้ทำงานเป็นจิตอาสาโรงพยาบาลพะเยา
เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้คนพะเยาจะรู้จักเป็นอย่างดี ถือว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของการทำงานด้านจิตอาสา ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริงโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ในทุกๆ วันทำการจะเจอกับปู่หล่นกับรถยนต์คู่ชีพที่ติดเครื่องขยายเสียงประชาสัมพันธ์งานเพื่อสังคมที่โรงพยาบาลพะเยา ทำหน้าที่คอยบริการให้ข้อมูลทั่วไปแก่ประชาชนที่มาติดต่อที่โรงพยาบาล โดยไม่รับค่าตอบแทนมานานหลายสิบปี