ฉะเชิงเทรา - ผืนป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออกพังพินาศอีกรอบ หลังพบขบวนการมอดไม้ลุยโค่นล้มไม้มีค่าอายุหลายร้อยปีเกลื่อนผืนป่า ขณะชาวบ้านข้องใจจุดเกิดเหตุอยู่ไม่ไกลหูตาเจ้าหน้าที่ แต่กลับปล่อยให้มีการทำไม้กันอย่างอึกทึก ประจานความบกพร่อง และขาดความเอาใจใส่ในการปกป้องดูแลรักษาผืนป่าของหน่วยงานรัฐ
วันนี้ (11 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้าน “บ้านนายาว” ต.ท่ากระดาน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ว่า ขณะนี้ในบริเวณผืนป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ประกอบด้วย จ.ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง และ จ.จันทบุรี ได้มีขบวนการมอดไม้แอบลักลอบเข้ามาทำการโค่นล้มตัดต้นไม้หวงห้ามซึ่งมีอายุหลายร้อยปี และทิ้งร่องรอยของตอไม้ ต้นไม้ล้ม รวมถึงปีกไม้ไว้เกลื่อนผืนป่า บริเวณป่าสงวนแนวป่ากันชนของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน
โดยไม้ที่ถูกโค่นล้ม และถูกเลื่อยแปรรูปออกไปจากป่านั้นส่วนใหญ่เป็นไม้มะค่าโมงขนาด 2-3 คนโอบ ที่มีอายุการยืนต้นมานานนับร้อยปี รวมถึงไม้ประดู่ขนาดใหญ่ถึงกว่า 4 คนโอบ หรือมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 180 ซม.อีกด้วย
ชาวบ้านระบุว่า บริเวณที่เกิดเหตุนี้เป็นบริเวณป่าทัพกำนัน รอยต่อระหว่างหมู่บ้านคลองเตย และบ้านนายาว ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากฐานปฏิบัติการย่อยของทหารพรานจุดทัพกำนันมากนัก เพียงแค่ประมาณ 1 กม.เศษๆ เท่านั้น และยังอยู่ไม่ห่างจากจุดตรวจของกรมป่าไม้ที่ ฉช.6 ทุ่งเหียงอีกด้วย เพียงประมาณ 4-5 กม.ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงพากันสงสัยว่า เหตุใดเจ้าหน้าทั้ง 2 หน่วยงานนี้จึงมองไม่เห็นต้นไม้ที่ถูกโค่นล้มจนทั่วบริเวณผืนป่า ซึ่งขณะนี้เชื่อว่ามีไม่น้อยกว่า 50 ต้น และพบร่องรอยตอไม้สภาพใหม่เอี่ยม พร้อมกับกองปีกไม้กระจัดกระจายไปจนทั่วบริเวณผืนป่า
นายเสถียร พวงไทยสง อายุ 42 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 15 ต.ท่ากระดาน กล่าวว่า หลังจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านจึงได้นำกำลังชุด ชรบ.หมมู่บ้าน พร้อมคณะกรรมการหมู่บ้าน และคณะกรรมการป่าชุมชนเดินทางเข้าไปทำการตรวจสอบ ในฐานะของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองท้องที่ และพบว่ามีต้นไม้มะค่า และไม้ประดู่ถูกโค่นล้มเป็นจำนวนมากจริงจนเกือบทั่วผืนป่า ซึ่งคาดว่ามีปริมาณไม่น้อยกว่า 50 ต้น จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (คสช.) ที่มีอำนาจอยู่ในขณะนี้เข้ามาดูแลจัดการต่อขบวนการลักลอบตัดไม้ในเขตผืนป่ารอยต่อ 5 จังหวัด และป่าชุมชนของชาวบ้านด้วย
ขณะนี้ได้รายงานให้ทาง นายธีระ พรชูตรง นายอำเภอสนามชัยเขตทราบแล้ว โดยคาดว่ากลุ่มที่เข้ามาทำไม้ในป่าหวงห้ามแห่งนี้เป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพล ซึ่งชาวบ้านธรรมดาทั่วไปไม่สามารถทำได้แน่นอน จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นผู้มีเงินทุนคอยให้การสนับสนุน เนื่องจากที่ผ่านมานั้นในพื้นที่ป่าและพื้นที่ทำกินของชาวบ้านนั้นมีการแบ่งแยกแนวเขตกันอย่างชัดเจนแล้ว โดยมีการขุดคูกันช้างล้อมรอบผืนป่าเอาไว้ ชาวบ้านธรรมดาจึงไม่สามารถที่จะบุกรุกเข้าไปได้