บุรีรัมย์ - ญาติพี่น้อง “ตะวัน” เหยื่อตำรวจจับผิดตัวกล่าวหาเป็นฆาตกรข่มขืนหญิงชรากว่า 10 ราย ออกมาร้องขอความเป็นธรรม หลังตกเป็นจำเลยสังคมสร้างความเสียหายแก่ครอบครัวญาติพี่น้อง พร้อมเรียกร้องให้ตำรวจแสดงความรับผิดชอบฐานทำงานไม่รอบคอบและซ้อมผู้บริสุทธิ์จนต้องยอมรับสารภาพทั้งที่ไม่ได้กระทำผิด
วันนี้ (26 ก.พ.) บรรยากาศที่บ้านเลขที่ 12 หมู่ 8 บ้านบุตาแหบ ต.ตลาดโพธิ์ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนายตะวัน ทองยิ้ม อายุ 35 ปี หนุ่มลูกจ้างโรงงานน้ำแข็ง ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 3 นครราชสีมา จับผิดตัวฐานตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีข่มขืนหญิงชรากว่า 10 รายในพื้นที่ จ.นครปฐม และสมุทรปราการที่กำลังเป็นข่าวโด่งดัง แต่ผลตรวจดีเอ็นเอกลับไม่ตรงและไม่มีหลักฐานว่านายตะวันเป็นผู้กระทำผิด เจ้าหน้าที่จึงได้ปล่อยตัวนั้น
พบว่าบ้านหลังดังกล่าวถูกปิดไม่มีใครอยู่เนื่องจากนางบัวพันธ์ ทองยิ้ม อายุ 60 ปี ผู้เป็นแม่ไปทำงานรับจ้างตัดอ้อย ส่วนพ่อได้เสียชีวิตเมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว ส่วนพี่น้องอีก 3 คนแยกย้ายกันไปมีครอบครัวหมดแล้ว พบเพียงญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านที่ต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยถึงกรณีที่เกิดขึ้น
พร้อมยืนยันเป็นเสียงเดียวกันไม่เชื่อว่านายตะวันจะเป็นฆาตกรตามที่ถูกกล่าวหา เพราะที่ผ่านมานายตะวันไม่เคยมีพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าว และไม่เคยกระทำผิดจนต้องถูกจับกุมดำเนินคดีเลย
ทั้งนี้ ญาติพี่น้องยังได้ร้องขอความเป็นธรรมให้แก่นายตะวัน เพราะขณะนี้ได้ตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว พร้อมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่รอบคอบ ทั้งยังซ้อมประชาชนผู้บริสุทธิ์จนต้องยอมรับสารภาพ ทั้งที่ไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาเลย
นายสมศรี คำพิมูล อายุ 45 ปี น้าของนายตะวัน กล่าวว่า หลังทราบข่าวก็ตกใจและเป็นห่วงหลานมาก ซึ่งหลังจากที่หลานถูกปล่อยตัวเนื่องจากผลตรวจดีเอ็นเอไม่ตรงและไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้กระทำผิด หลานได้โทรศัพท์มาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า สาเหตุที่ต้องยอมรับสารภาพเพราะถูกตำรวจซ้อม และยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา จึงเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่หลาน เพราะขณะนี้ก็ตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว
ขณะที่นางแตงอ่อน คำพิมูล พี่สะโภ้ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่หลาน เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำแต่กลับถูกกล่าวหาและจับกุมนำตัวไปซ้อมจนต้องยอมรับสารภาพ จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กล่าวขอโทษแล้วจบกันไป เพราะขณะนี้หลานต้องตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว ทั้งยังเสียหายมาถึงญาติพี่น้องและครอบครัวด้วย และหากหลานเดินทางกลับมาบ้าน ญาติพี่น้องเตรียมจะทำพิธีสู่ขวัญให้หลานด้วย พร้อมฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้ทำงานให้รอบคอบมากกว่านี้
วันนี้ (26 ก.พ.) บรรยากาศที่บ้านเลขที่ 12 หมู่ 8 บ้านบุตาแหบ ต.ตลาดโพธิ์ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนายตะวัน ทองยิ้ม อายุ 35 ปี หนุ่มลูกจ้างโรงงานน้ำแข็ง ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 3 นครราชสีมา จับผิดตัวฐานตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีข่มขืนหญิงชรากว่า 10 รายในพื้นที่ จ.นครปฐม และสมุทรปราการที่กำลังเป็นข่าวโด่งดัง แต่ผลตรวจดีเอ็นเอกลับไม่ตรงและไม่มีหลักฐานว่านายตะวันเป็นผู้กระทำผิด เจ้าหน้าที่จึงได้ปล่อยตัวนั้น
พบว่าบ้านหลังดังกล่าวถูกปิดไม่มีใครอยู่เนื่องจากนางบัวพันธ์ ทองยิ้ม อายุ 60 ปี ผู้เป็นแม่ไปทำงานรับจ้างตัดอ้อย ส่วนพ่อได้เสียชีวิตเมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว ส่วนพี่น้องอีก 3 คนแยกย้ายกันไปมีครอบครัวหมดแล้ว พบเพียงญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านที่ต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยถึงกรณีที่เกิดขึ้น
พร้อมยืนยันเป็นเสียงเดียวกันไม่เชื่อว่านายตะวันจะเป็นฆาตกรตามที่ถูกกล่าวหา เพราะที่ผ่านมานายตะวันไม่เคยมีพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าว และไม่เคยกระทำผิดจนต้องถูกจับกุมดำเนินคดีเลย
ทั้งนี้ ญาติพี่น้องยังได้ร้องขอความเป็นธรรมให้แก่นายตะวัน เพราะขณะนี้ได้ตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว พร้อมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่รอบคอบ ทั้งยังซ้อมประชาชนผู้บริสุทธิ์จนต้องยอมรับสารภาพ ทั้งที่ไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาเลย
นายสมศรี คำพิมูล อายุ 45 ปี น้าของนายตะวัน กล่าวว่า หลังทราบข่าวก็ตกใจและเป็นห่วงหลานมาก ซึ่งหลังจากที่หลานถูกปล่อยตัวเนื่องจากผลตรวจดีเอ็นเอไม่ตรงและไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้กระทำผิด หลานได้โทรศัพท์มาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า สาเหตุที่ต้องยอมรับสารภาพเพราะถูกตำรวจซ้อม และยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา จึงเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่หลาน เพราะขณะนี้ก็ตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว
ขณะที่นางแตงอ่อน คำพิมูล พี่สะโภ้ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่หลาน เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำแต่กลับถูกกล่าวหาและจับกุมนำตัวไปซ้อมจนต้องยอมรับสารภาพ จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กล่าวขอโทษแล้วจบกันไป เพราะขณะนี้หลานต้องตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว ทั้งยังเสียหายมาถึงญาติพี่น้องและครอบครัวด้วย และหากหลานเดินทางกลับมาบ้าน ญาติพี่น้องเตรียมจะทำพิธีสู่ขวัญให้หลานด้วย พร้อมฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้ทำงานให้รอบคอบมากกว่านี้