ศูนย์ข่าวศรีราชา - รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งสืบหาคนร้ายยิงถล่มอดีตผู้กว้างขวาง อ.บางพลี พบ 1 ในอาวุธที่ใช้คือปืนคาร์บินขนาด .30 ที่ปลดระวางแล้วเกือบ 20 ปี คาดกลุ่มคนร้ายมีมากว่า 2 คน และน่าจะมีการประชุมวางแผน รวมทั้งชี้เป้าก่อนลงมือก่อเหตุ
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนสงคราม และอาวุธปืนขนาด 9 มม.กระหน่ำยิง นายมานพ เจนพรมราช นามสกุลเดิมหาญณรงค์ อายุ 62 ปี อดีตผู้กว้างขวางในเขตอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ หลังหนีมากบดานที่บ้านเลขที่ 416 หมู่ 12 ตำบลหนองเหี่ยง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี จนเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อช่วงกลางดึกคืนที่ผ่านมา (8 ม.ค.) ว่า
ล่าสุด พ.ต.อ.พิสิฏฐ์ โปรยรุ่งโรจน์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ได้เรียกประชุมคณะทำงาน โดยมี พ.ต.อ.เชี่ยวชาญ เพิ่มพูน ผกก.สภ.พนัสนิคม และชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ชุดสืบสวนตำรวจภูธรพนัสนิคม ที่ห้องประชุมสถานีตำรวจภูธรพนัสนิคม และยังได้เข้าดูแลการสอบสวนเก็บของกลาง และเก็บข้อมูลเพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดี
พ.ต.อ.พิสิฏฐ์ โปรยรุ่งโรจน์ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ยังได้นำปลอกกระสุนปืนที่ตกในที่เกิดเหตุมาตรวจสอบ ซึ่งก็พบว่า คนร้ายใช้อาวุธปืน 2 กระบอก คือ อาวุธปืนสงครามคาร์บิน ขนาด .30 ที่ประเทศไทยปลดระวาง และเลิกใช้ โดยได้มีการนำไปทำลายเกือบ 20 ปีแล้ว ส่วนอีกกระบอกเป็นอาวุธปืนขนาด 9 มม. ซึ่งกระสุนปืนเข้าที่ศีรษะผู้ตาย 1 นัด ลำตัว และแขน 13 นัด ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน 2 ได้นำปลอกกระสุนรวม 17 ปลอก ไปทำการตรวจสอบว่าปืนทั้ง 2 กระบอก เคยก่อเหตุที่ไหนมาบ้าง
พร้อมกล่าวว่า อาวุธปืนคาร์บิน ในอดีตประเทศไทยได้นำมาใช้ราชการ แต่ปัจจุบันได้ปลดระวางและทำลายไปแล้ว ซึ่งปืนดังกล่าวสามารถยิงได้ทั้งแบบทีละนัด และเป็นชุด ปัจจุบันสามารถหาได้ตามตะเข็บชายแดนประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออก
ด้าน พล.ต.ต.เชษฐา โกมลวรรธนะ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตรวจภูธรภาค 2 ได้นำกำลังเจ้าหน้าตำรวจหลายนายออกสืบสวน และตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมติดตามภาพจากวงจรปิด รวมทั้งผู้เห็นเหตุการณ์ที่ระบุว่า มีรถยนต์ปิกอัพ 4 ประตู สีดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนขับเข้ามา ก่อนที่คนร้ายจะก่อเหตุยิงผู้ตาย และพากันขับหลบหนีไป โดยคาดว่าเส้นทางที่สามารถหลบหนีมี 3 เส้นทาง
อย่างไรก็ดี มีการคาดการณ์ว่าก่อนลงมือสังหารคนร้ายน่าจะมีการวางแผน และชี้เป้าก่อน เนื่องจากถนนเข้าออกมีทางเดียว และรถไม่สามารถวิ่งสวนกันได้ จึงคาดว่าช่วงเวลาก่อเหตุน่าจะมีกลุ่มคนร้ายส่งสัญญาณ และดูต้นทางให้ด้วย