รวบแล้ว! โจ๋โหดฆ่าเปลือยสาวเจ้าของมินิมาร์ทบุรีรัมย์ เป็นคนคุ้นเคย อ้างหวังทรัพย์ไม่ข่มขืน (ชมคลิป)

บุรีรัมย์ - ตร.บุรีรัมย์รวบฆาตกรโหดฆ่าเชือดคอสาวเจ้าของมินิมาร์ททิ้งศพเปลือยคาห้องครัวได้แล้ว ที่แท้เป็นวัยรุ่นคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก บ้านอยู่ห่างแค่ 300 เมตร สารภาพเพียงประสงค์ต่อทรัพย์ไม่ได้ข่มขืน เผยลงมือก่อเหตุตอนเที่ยงวันที่ 1 ม.ค. ด้าน จนท.ระดมกำลังคุมตัวทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ท่ามกลางญาติและเพื่อนผู้ตายตะโกนสาปแช่ง



เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ (6 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีฆ่าโหด น.ส.จิตราวดี สวรรค์โพธิ์งาม หรือบี อายุ 30 ปี เจ้าของร้านมินิมาร์ท “บีเซเว่น” ตั้งอยู่เลขที่ 100 ม.4 ต.ปะคำ อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ ริมถนนสายปะคำ-โนนดินแดง เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 58 ที่ผ่านมา ทิ้งศพเปลือยคาห้องครัว ซึ่งเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญประชาชนและเกิดเหตุในวันปีใหม่ 2558 นั้น

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ และตำรวจชุดสืบ สภ.ปะคำ เจ้าของท้องที่ สามารถจับกุมตัวคนร้ายที่ก่อเหตุได้แล้ว คือ นายชลิต หรือลิต ดวงนิล อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9 ม.10 ต.ปะคำ อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นวัยรุ่นหมู่บ้านใกล้กันและคุ้นเคยกับผู้ตายมาตั้งแต่เด็ก โดยบ้านผู้ก่อเหตุอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านผู้ตายห่างกันประมาณ 300 เมตร

หลังก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบได้ระดมกำลังลงพื้นที่ออกสืบสวนหาเบาะแสคนร้ายทั้งกลางวันและกลางคืนต่อเนื่องตลอด 5 วันนับจากวันที่พบศพ กระทั่งสืบทราบว่านายชลิตมีร่องรอยบาดแผลตามร่างกายลักษณะคล้ายเกิดจากการต่อสู้ จึงได้เรียกตัวมาสอบสวน แต่นายชลิตอ้างว่าร่องรอยบาดแผลดังกล่าวเกิดจากขี่รถจักรยานยนต์ล้ม แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ จึงได้นำตัวไปค้นที่บ้านก็พบหลักฐานเงินเหรียญสกุลวอน ซึ่งเป็นเงินสกุลเกาหลีจำนวน 4 เหรียญ ซึ่งตรงกับข้อมูลที่สืบทราบว่าก่อนหน้านี้ผู้ตายได้เดินทางไปเที่ยวเกาหลีกับแฟนที่ทำงานอยู่ประเทศเกาหลีมา จึงควบคุมตัวไปสอบสวนที่โรงพัก และยอมรับสารภาพในที่สุด

จากการสอบสวนนายชลิต หรือลิต ฆาตกรโหด รับสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุฆ่า น.ส.จิตราวดี หรือบี เจ้าของร้านมินิมาร์ทดังกล่าวจริง โดยอ้างว่าในวันเกิดเหตุ (1 ม.ค. 58) เวลาประมาณ 12.00 น.ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปเติมเงินออนไลน์โทรศัพท์มือถือที่หน้าร้านของผู้ตาย

จังหวะนั้นเห็นผู้ตายเดินออกไปดูบ้านเช่าด้านหลัง และเห็นประตูเหล็กหลังบ้านเปิดแง้มอยู่ จึงแอบเข้าไปขโมยเงินและทรัพย์สินในร้าน แต่ผู้ตายเดินกลับมาเจอพอดีพร้อมถือมีดติดมือมาด้วย จึงได้แย่งมีดในมือผู้ตาย แล้วเกิดการต่อสู้กันอย่างรุนแรง จึงได้ใช้มีดเล่มดังกล่าวกระหน่ำฟันและเชือดคอเหยื่อจนเสียชีวิตคาที่ แล้วลากศพไปทิ้งไว้ข้างมุมห้องครัว

นายชลิตยังอ้างด้วยว่า ที่ลงมือก่อเหตุฆ่า น.ส.จิตราวดี เพียงเพราะประสงค์ต่อทรัพย์สินเท่านั้น แต่ผู้ตายมาเจอจึงได้ฆ่าปิดปาก ส่วนกางเกงที่หลุดไม่ได้หวังที่จะข่มขืน แต่หลุดขณะที่ลากศพไปทิ้งในครัว หลังจากนั้นได้ขับขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านแล้วนำเสื้อผ้าที่ใส่ในวันเกิดเหตุ พร้อมกระเป๋าของผู้ตายไปเผาและขุดหลุมฝังเพื่อทำลายหลักฐาน ส่วนมีดที่ใช้ก่อเหตุนำไปทิ้งสระท้ายหมู่บ้าน แล้วกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายชลิต ฆาตกรโหดไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังจุดเกิดเหตุ โดยมี พล.ต.ต.สุวรรณ์ เอกโพธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) บุรีรัมย์ เดินทางมาควบคุมการทำแผนด้วยตัวเอง เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญประชาชน และก่อเหตุตอนกลางวันแสกๆ ในวันปีใหม่ท่ามกลางญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านมามุงดูและตะโกนสาปแช่งจำนวนมาก

โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาทำแผนไม่ถึง 1 ชั่วโมงเพราะเกรงญาติที่โกรธแค้นจะรุมประชาทัณฑ์ จากนั้นได้นำตัวไปทำพิธีขอขมานายยงยุทธ และนางแพงแก้ว สวรรค์โพธิ์งาม พ่อแม่ของผู้ตาย

ก่อนเจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเพื่อปกปิดความผิดของตนเอง, ลักทรัพย์ผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อความสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป”

ขณะที่พ่อและแม่ผู้ตายได้กล่าวทั้งน้ำตาว่า ไม่นึกว่าฆาตกรที่ฆ่าลูกสาวของตัวเองจะเป็นคนคุ้นเคยที่เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก หากอยากได้เงินทองมาขอดีๆ ก็จะให้ แต่ไม่น่าจะมาทำกับลูกสาวอย่างโหดเหี้ยมทารุณขนาดนี้ด้วยเงินเพียงไม่กี่บาท จึงอยากเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีตามกฎหมายจนถึงที่สุด หรือให้ตายตกตามกันไป เพราะชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต

พร้อมกันนี้ แม่ผู้ตายยังให้นายชลิต ฆาตกรโหด สาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะหยุดทำชั่วกลับตัวกลับใจเป็นคนดี

ด้าน พล.ต.ต.สุวรรณ์ เอกโพธิ์ ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ กล่าวว่า แม้จะจับกุมตัวคนร้ายที่ก่อเหตุฆ่าโหดสาวเจ้าของมินิมาร์ทได้แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจพร้อมขอโทษครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วยที่ไม่สามารถป้องกันเหตุที่เกิดขึ้นได้ แม้เจ้าหน้าที่จะทำงานอย่างหนักเพื่อสืบหาตัวคนร้าย แต่ก็ทำตามหน้าที่หลังเกิดเหตุแล้ว จึงได้ฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท้องที่ได้เพิ่มความเข้มงวดในการออกตรวจตราตามจุดเสี่ยงที่อาจจะเกิดเหตุร้ายต่างๆ ทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นซ้ำอีก