อุบลราชธานี - ดีเอสไอ ป.ป.ท.นครราชสีมา ตรวจสร้างสนามฟุตซอลในอุบลราชธานี พบแผ่นยางปูพื้นสนามไม่ได้มาตรฐาน เสนอราคาสูงเกินจริงอีกเท่าตัว เตรียมสรุปข้อมูลให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านทุจริตแห่งชาติเอาผิดผู้เกี่ยวข้องแล้ว
วันนี้ (30 ต.ค.) ที่สนามฟุตซอลโรงเรียนบ้านด่าน ต.บ้านด่าน อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บังคับการสำนักคดีความมั่นคงดีเอสไอ เข้าตรวจสอบการทุจริตสร้างสนามฟุตซอล โดยที่สนามฟุตซอลโรงเรียนแห่งนี้ใช้งบประมาณก่อสร้างในปี 2554 ทั้งสิ้น 1,986,000 บาท เป็นการสร้างสนามฟุตซอลกลางแจ้งปูด้วยแผ่นยางอีวีเอ หลังเข้าตรวจสอบพบเป็นแผ่นยางที่ปูสนามไม่ได้มาตรฐาน และยังพบมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในเอกสารการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเปลี่ยนคำว่าสร้างพื้นสนามกีฬาในร่มเป็นสนามกลางแจ้งแทน นอกจากโรงเรียนบ้านด่านแล้ว ยังเข้าตรวจสอบโรงเรียนเพียงหลวง 12 และโรงเรียนมัธยมโขงเจียม พร้อมสอบปากคำคณะครูที่เป็นกรรมการตรวจรับงานก่อสร้าง
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บังคับการสำนักคดีความมั่นคงดีเอสไอ กล่าวว่า การตรวจสอบครั้งนี้เพื่อสอบสวนหาประเด็นมีการฮั้วกันหรือไม่ เพราะถ้าเข้าเรื่องฮั้ว โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้อง จะเป็นความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษรับไปดำเนินการ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้อง จะเป็นเรื่องของ ป.ป.ช. และทำการตรวจสอบราคาอุปกรณ์ใช้ทำสนามพื้นยางอีวีเอได้ราคาที่เป็นกลางหรือไม่ ส่วนประการสุดท้ายคือ เรื่องของคุณภาพ มีความพร้อมจะใช้งานหรือไม่ และเป็นไปตามสเปกหรือไม่
เบื้องต้นพบว่าพื้นยางที่ใช้เหมาะสมกับกีฬาในร่ม ไม่เหมาะกับกีฬากลางแจ้ง หากใช้กลางแจ้งจะเกิดการโก่งงอ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ของไทยวัดความแข็งของแผ่นยางอีวีเอ พบว่าตามมาตรฐานจะต้องได้ขนาด 55 ชA แต่ที่สุ่มตรวจวัดได้แค่ 44-45 ชA ซึ่งถือว่าคุณภาพไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
นอกจากนี้ยังพบว่ากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญจากสนามกีฬาในร่มเปลี่ยนเป็นสนามกีฬากลางแจ้ง ทำให้มีการเข้าใจผิดในการใช้วัสดุก่อสร้าง และจากการสอบสวนราคากลางกับราคาตามท้องตลาด พบว่าแผ่นยางขนาดเมตรคูณเมตรมีราคาซื้อขายในท้องตลาดประมาณ 1,400 บาทต่อแผ่น แต่ราคาเฉลี่ยที่ซื้อสูงถึง 2,600 บาท มีราคาแพงกว่าความเป็นจริง ทำให้ราคาค่าก่อสร้างสูงขึ้นจากปกติอีกหนึ่งเท่าตัว
หลังการสอบสวนจะสรุปเรื่องส่งไปยังศูนย์อำนวยการต่อต้านทุจริตแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสืบสวนหาตัวกลุ่มผู้กระทำความผิดทั้ง 3 กลุ่ม คือ ข้าราชการ นักการเมือง และผู้รับเหมามาดำเนินการต่อไป
