รองผู้ว่าฯ แปดริ้วชี้จีพีพีจังหวัดโตไม่หยุด ล่าสุดแซงแชมป์เก่าหลายจังหวัด

ฉะเชิงเทรา - รองผู้ว่าฯ แปดริ้ว ชี้จีพีพีของจังหวัดเติบโตต่อเนื่อง ล่าสุด แซงอดีตแชมป์เก่าอย่างชลบุรี และสมุทรปราการแล้ว เผยภาคอุตสาหกรรมมีมูลค่านำโด่งสูงสุดกว่าร้อยละ 75.3 ขณะที่ภาคเกษตรลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 25-30 ทำรายได้ต่อหัวประชากรรวมติดหนึ่งใน 5 ของประเทศที่ 319,016 บาทต่อหัวต่อคนต่อปี

วันนี้ (3 ก.ย.) นายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวระหว่างการเป็นประธานเปิดงานสัมมนาโครงการก่อสร้างเส้นทางแนวใหม่สายเลี่ยงเมืองฉะเชิงเทรา เส้นทางหลวงพิเศษ สระบุรี-บางปะกง และทางหลวงพิเศษสุวรรณภูมิ-ฉะเชิงเทรา ที่ห้องบุษราคัม โรงแรมแกรนด์รอยัลพลาซ่า อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ว่า ขณะนี้จังหวัดฉะเชิงเทรามีค่าจีพีพี (Gross Provincial Productat Marketat Current Price) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในจังหวัดที่มีการเติบโตขยายตัวสูงถึง 8.2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงการคลัง และใช้เป็นฐานข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มาตั้งแต่เมื่อปี 2555

การขยายตัวทางด้านมูลค่าที่มีการเติบโตสูงสุดนั้นอยู่ในกลุ่มของภาคอุตสาหกรรม ที่ร้อยละ 75.3 เปอร์เซ็นต์ ประชากรมีรายได้ต่อหัวอยู่ในลำดับต้นๆ ของประเทศ หรือติดอยู่ในกลุ่ม 1 ใน 5 ของประเทศ ที่ 319,016 บาทต่อคนต่อปี จึงทำให้จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอยู่ในลำดับที่ 3 ของประเทศ หากไม่นับรวมเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร รองจากอันดับ 1 คือ จังหวัดสมุทรสาคร, ระยอง และยังแซงหน้า จ.ชลบุรี และสมุทรปราการ ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจเริ่มลดลง

นายบัณฑิตย์ กล่าวต่อว่า การเติบโตดังกล่าวนี้ได้ส่งผลกระทบต่อทางด้านเส้นทางการคมนาคมที่ต้องมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย อีกทั้ง จ.ฉะเชิงเทรา ยังอยู่ในเส้นทางสายเศรษฐกิจอาเซียนสายใต้ หรือ“เซาเทิร์น คอริดอร์” (SEC) ที่จะเชื่อมโยงจากประเทศพม่า ไปยังประเทศเวียดนาม ซึ่งจังหวัดฉะเชิงเทรานั้นถือเป็นจุดศูนย์กลางของเส้นทางสายนี้พอดี จึงต้องมีการสร้างเส้นทางตัดผ่านเชื่อมโยงไว้รองรับการเจริญเติบดังกล่าว

นอกจากนั้น ยังเป็นการช่วยผ่อนระบายแก้ไขปัญหาด้านการจราจรของจังหวัดฉะเชิงเทราที่ปัจจุบันมีความแออัดคับแคบ และติดขัดการก่อสร้างเส้นทางเลี่ยงเมืองสายใหม่นี้จึงเป็นการช่วยระบายรถที่ต้องการเดินทางในระยะไกลผ่านพื้นที่ไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างสะดวก ซึ่งจะสามารถช่วยลดความแออัดทางด้านการจราจรในท้องถิ่นลงได้อย่างมาก