ร้อยเอ็ด - ลูกชายพาแม่ร้องเจ้าหน้าที่ทหารที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์และช่วยเหลือประชาชน ประจำพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด หลังโดนคนอ้างตัวเป็นตำรวจและทหาร บุกเข้ายึดเครื่องตัดหญ้า เลื่อยยนต์และปืนแก๊ปที่ใช้ยิงหนูไปจำนวนมาก โดยขู่ว่าเป็นสิ่งที่ส่อว่าเข้าข่ายจะนำไปกระทำความผิด ขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองในช่วงที่ คสช.ประกาศภาวะฉุกเฉิน “ผบก.จทบ.” เชื่อเป็นผู้ไม่หวังดีจ้องทำลายความเชื่อถือ สั่งจัดการเด็ดขาด แนะประชาชนพบอีกให้ขอดูบัตร ตรวจสอบ ล้อมจับ หรือถ่ายรูปไว้แจ้งความจับขึ้นศาลทหาร
วันนี้ (8 มิ.ย.) นายจักรพงษ์ นากลาง ชาวบ้านอยู่บ้านเลขที่ 11 บ้านหนองโนน้อย ต.ภูเขาทอง อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด ได้นำนางสุบรรณ นากลาง ที่เป็นมารดาเข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์และช่วยเหลือประชาชน ประจำพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อบันทึกข้อเท็จจริงกรณีเมื่อช่วงวันศุกร์สัปดาห์ที่ผ่านมามีกลุ่มบุคคลประมาณ 10 คนที่ไม่แต่งเครื่องแบบนั่งรถตู้อ้างว่าเป็นหน่วยทหารและตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษเข้าทำการตรวจค้นที่บ้าน
พร้อมกับยึดเอาเครื่องตัดหญ้า เลื่อยยนต์ และปืนแก๊ปที่ใช้ยิงหนูไป โดยอ้างว่าเป็นสิ่งที่ส่อว่าเข้าข่ายจะนำไปกระทำความผิด ขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองในช่วงที่ คสช.ประกาศภาวะฉุกเฉิน พร้อมกับมีการข่มขู่ว่าหากขัดขวางจะถูกจับกุมควบคุมตัวไปดำเนินคดี จึงจำยอมให้ยึดสิ่งของไป
หลังจากนั้นตนได้มีการตรวจสอบในละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงในพื้นที่ตำบลเดียวกัน ปรากฏว่ามี 6 หมู่บ้านที่ถูกกลุ่มบุคคลดังกล่าวเข้าตรวจค้นและยึดสิ่งของไปในลักษณะต่างๆ ไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ดังนั้น วันนี้ตนจึงเดินทางมาพบเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามและบันทึกความเสียหายไว้เป็นหลักฐาน และหากไม่ใช่ชุดของทหารจริงก็ขอให้ติดตามจับกุมมาดำเนินคดีและขอรับสิ่งของคืนต่อไป
พล.ต.นคร สุขประเสริฐ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกร้อยเอ็ด และผู้บังคับกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จ.ร้อยเอ็ด กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า แต่เดิมพบเพียงข่าวลือเท่านั้น และวันนี้เพิ่งจะปรากฏว่ามีผู้เสียหายที่เป็นตัวจริง และจากการตรวจสอบแล้ว ทราบว่าทางทหารไม่ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวเข้าไปปฏิบัติการในลักษณะผิดกฎหมายเช่นนี้ ดังนั้นจึงทำให้เชื่อว่าจะต้องมีขบวนการที่ต้องการทำสงครามข่าวสารเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ เพื่อทำลายความไว้วางใจกับทหาร
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีการประสานงานสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดที่ดูแลฝ่ายปกครอง ประสานงานไปยังตำรวจภูธรจังหวัดที่ดูแลด้านการทำผิดกฎหมาย เข้าไปควบคุมดูแลและกวดขันจับกุมผู้แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปกระทำความผิดมาดำเนินคดีแล้ว
พร้อมกันนั้นได้ให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตื่นตัวขอดูหลักฐานบัตรประจำตัวกลุ่มบุคคลดังกล่าวด้วย หากพบว่าไม่มีการแต่งเครื่องแบบ และหากพบว่าผิดปกติก็ให้ล้อมไว้แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที หรือบันทึกภาพเพื่อเป็นหลักฐานเพื่อประกอบการนำเข้าแจ้งความดำเนินคดี และหากจับได้หรือยังไม่เลิกพฤติกรรมก็จะจับกุมส่งขึ้นศาลทหารดำเนินคดีลงโทษขั้นสูงสุดต่อไป
วันนี้ (8 มิ.ย.) นายจักรพงษ์ นากลาง ชาวบ้านอยู่บ้านเลขที่ 11 บ้านหนองโนน้อย ต.ภูเขาทอง อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด ได้นำนางสุบรรณ นากลาง ที่เป็นมารดาเข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์และช่วยเหลือประชาชน ประจำพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อบันทึกข้อเท็จจริงกรณีเมื่อช่วงวันศุกร์สัปดาห์ที่ผ่านมามีกลุ่มบุคคลประมาณ 10 คนที่ไม่แต่งเครื่องแบบนั่งรถตู้อ้างว่าเป็นหน่วยทหารและตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษเข้าทำการตรวจค้นที่บ้าน
พร้อมกับยึดเอาเครื่องตัดหญ้า เลื่อยยนต์ และปืนแก๊ปที่ใช้ยิงหนูไป โดยอ้างว่าเป็นสิ่งที่ส่อว่าเข้าข่ายจะนำไปกระทำความผิด ขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองในช่วงที่ คสช.ประกาศภาวะฉุกเฉิน พร้อมกับมีการข่มขู่ว่าหากขัดขวางจะถูกจับกุมควบคุมตัวไปดำเนินคดี จึงจำยอมให้ยึดสิ่งของไป
หลังจากนั้นตนได้มีการตรวจสอบในละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงในพื้นที่ตำบลเดียวกัน ปรากฏว่ามี 6 หมู่บ้านที่ถูกกลุ่มบุคคลดังกล่าวเข้าตรวจค้นและยึดสิ่งของไปในลักษณะต่างๆ ไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ดังนั้น วันนี้ตนจึงเดินทางมาพบเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามและบันทึกความเสียหายไว้เป็นหลักฐาน และหากไม่ใช่ชุดของทหารจริงก็ขอให้ติดตามจับกุมมาดำเนินคดีและขอรับสิ่งของคืนต่อไป
พล.ต.นคร สุขประเสริฐ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกร้อยเอ็ด และผู้บังคับกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จ.ร้อยเอ็ด กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า แต่เดิมพบเพียงข่าวลือเท่านั้น และวันนี้เพิ่งจะปรากฏว่ามีผู้เสียหายที่เป็นตัวจริง และจากการตรวจสอบแล้ว ทราบว่าทางทหารไม่ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวเข้าไปปฏิบัติการในลักษณะผิดกฎหมายเช่นนี้ ดังนั้นจึงทำให้เชื่อว่าจะต้องมีขบวนการที่ต้องการทำสงครามข่าวสารเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ เพื่อทำลายความไว้วางใจกับทหาร
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีการประสานงานสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดที่ดูแลฝ่ายปกครอง ประสานงานไปยังตำรวจภูธรจังหวัดที่ดูแลด้านการทำผิดกฎหมาย เข้าไปควบคุมดูแลและกวดขันจับกุมผู้แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปกระทำความผิดมาดำเนินคดีแล้ว
พร้อมกันนั้นได้ให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตื่นตัวขอดูหลักฐานบัตรประจำตัวกลุ่มบุคคลดังกล่าวด้วย หากพบว่าไม่มีการแต่งเครื่องแบบ และหากพบว่าผิดปกติก็ให้ล้อมไว้แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที หรือบันทึกภาพเพื่อเป็นหลักฐานเพื่อประกอบการนำเข้าแจ้งความดำเนินคดี และหากจับได้หรือยังไม่เลิกพฤติกรรมก็จะจับกุมส่งขึ้นศาลทหารดำเนินคดีลงโทษขั้นสูงสุดต่อไป
